โซโลเดี่ยว เที่ยวเมืองมอญ : MON



     หลังจากที่ได้เที่ยวพะอั่งไปจนเกือบครบทุกที่ อีกวันผมเลยตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองเมาะลำไหญ หรือมะละแหม่งตามที่คนไทยเรียกกัน

 

     การเดินทางจากพะอั่งไปเมาะลำไหญไม่ยาก เดินมาที่ Clock tower แแล้วถามคนแถวนั้นว่าจะไปเมาะลำไหญซื้อตั๋วที่ไหน แต่ถ้าพูดไม่เป็นบอกเค้าว่าเมาะลำไหญ เค้าก็จะชี้ไปทางท่ารถ ค่ารถ 1000 จ๊าตประมาณ 32 บาทครับ เป็นรถแบบหวานเย็นๆ ค่อยๆไปคนโบกตรงไหนก็จอด ตอนขึ้นไปก็งงว่านั่งตรงไหนแต่ก็มีพี่ชายชาวเมียนมาร์ใจดีคนนึงบอกที่นั่งให้ รถวิ่งจนถึงเองตุ๊จะจอดพักรถแปบๆเพื่อรอผู้โดยสาร ระหว่างนั้นก็มีเด็กเอาของมาขายทั้งน้ำ ลอนตาล และกุ้งชุบแป้งทอด ผมก็ไม่ได้สนใจหรอก แต่พี่ชายที่นั่งข้างๆก็ซื้อกุ้งมาแล้วเอามาแบ่ง รถชาติก็อร่อย ของฟรีหนิ!!! ระหว่างทางรถก็แล่นผ่านต้นไม้ แม่น้ำ ข้ามสะพาน จนมาถึงท่ารถที่เมืองเมาะลำไหญ

     ปกติถ้านั่งจากเมียวดีมาเมาะลำไหญก็สามารถทำได้ ค่ารถเท่ากับไปพะอั่งเลยคือ 10000จ๊าต/320 บาท อัตราแลกเปลี่ยน ณ ตอนนั้น แต่ถ้าไปหลายๆคนก็อาจจะเหมารถให้เค้าพาไปเที่ยวนั่นนี่เพิ่ม

  
กุ้งชุบแป้งทอดจากอะโก่ ที่นั่งข้างๆ/สถานีขนส่งเมืองเมาะลำไหญ

     ตอนที่ผมไปจำได้เลยว่า Internet โรงแรมที่พักที่พะอั่งไม่ดีทำให้ไม่สามารถหาข้อมูลเรื่องที่พักหรือจองที่พักให้เมาะลำไหญได้ แต่ถ้าอยากจะไปแล้วเอาไงก็เอากัน
     
     พอก้าวขาลงจากรถเท่านั้นแหละคนขับรถรับจ้างเยอะมาก บอกจะพาไปนั่นนี่เต็มไปหมดเลือกไม่ถูก เพราะไม่รู้จะไปไหนดี จุดเริ่มต้นก็ไม่มี ที่พักก็ไม่มี ยังคิดไม่ออกด้วยว่าจะไปไหน จนมีคนขับคนนึงพูดภาษาอังกฤษใส่ โล่งอกละค่อยยังชั่ว เลยตกลงไปกับคันนั้น แล้วเค้าก็พาไปหาโรงแรมที่พัก มีwifi ราคาไม่แพงเท่าไหร่ ห้องพักโอเค ลักษณะเป็นโมเตลนะผมว่า เพราะใช้ห้องน้ำร่วมกับคนอื่น แต่ผมไม่ซีเรียสอยู่แล้ว

     รถที่นั่งไปโรงแรมก็เป็นตุ๊กธรรมดา เบาะเป็นไม้แข็งๆ แต่ก็โอเคอยู่ คนขับก็พยายามพูดภาษาอังกฤษกับผมนะ ผมก็พยายามพูดกับเค้าเพราะไม่เก่งภาษาเหมือนกัน หลังจากได้ที่พักเลยจ่ายเหมาให้เค้าพาเที่ยวรอบเมือง โดยสถานที่แรกที่ไปคือ...

Mon National Museum

     เมื่อรถมาจอดด้านหน้าอาคารสีอ่อนไม่ใหญ่มากมีสองชั้น พอเดินเข้าไปก่อนอื่นเลยนอกจากฝากของแล้ว ชาวต่างชาติต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 2000 จ๊าต แต่พิพิธภัณฑ์ที่นี่ดีหน่อยที่พกกล้องเข้าไปได้



     เข้าไปก็เดินตามแผนที่ ส่วนใหญ่ในพิพิธภัณฑ์นี้จะใช้ป้ายไวนิลแสดงสิ่งต่างๆครับ มีสมบัติล้ำค่าบ้างแต่ไม่มาก ใช้เวลาในการเข้าชมไม่ถึงชั่วโมงก็ทั่วแล้ว สำหรับผมแล้ว 2000 จ๊าตถือว่าคุ้ม

 สิ่งต่างๆที่จัดแสดง

อุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาและไปป์

เครื่องใช้ในงานประเพณี

 ชุดชาวมอญ

 อุปกรณ์ในการถักทอ จนออกมาเป็นผืนผ้าเครื่องแต่งกาย

 
กว่าจะได้ tablet อิอิ / ตุ๊กตา

  ฆ้อง /ไวโอลิน/ระนาด/กลองมโหระทึก

 Musical Instrument of Nationalities 

 
 จารึกใบลาน

 
 พระนางเชงสอบู / พระมาลา

 ต่อไปก็ขึ้นไปชั้นบน ส่วนใหญ่จะจัดแสดงพระพุทธรูป



Two layers wood carving Buddha image has life scenes

     ภาพตัวอย่างเล็กๆน้อยๆจากที่ได้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ครับ เดินครบจบเสร็จผมก็ไปในสถานที่ต่อไป

Shampoo Island :แชมพูไอร์แลนด์


    เกาะสระผมอยู่ทางด้านทิศเหนือของเมืองเมาะลำไหญ มีความสำคัญคือในอดีตพระราชินีของเมืองนี้จะมาสระผมที่เกาะแห่งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคลเพราะบนเกาะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่เสียดายวันที่ไปผมหาไม่เจอ หรือเจอแต่ไม่รู้ รอบๆเกาะมีเจดีย์เยอะมาก และหลากหลายรูปทรงทั้งศิลปะแบบมอญ พุกาม เมียนมาร์ ไทย เนปาล การเดินทางไปเกาะสระผมนี้ต้องนั่งเรือ ไปกลับคนละ 2000 จ๊าต

โดยสารเรือไปกับพระ

ถึงแล้วก็เดินชมรอบๆ มีเจดีย์ศิลปะแบบเนปาลด้วย

พระยืนหันหน้าไปทางเมืองเมาะลำไหญ

พระพุทธรูป / พระพิฆเนศวร


     หลังจากชมเกาะสระผมเสร็จก็กลับมายังฝั่งเมาะลำไหญ เพราะเคยมาเมาะลำไหญและได้ไปเที่ยวรอบๆมาแล้ว วันนี้ผมเลยต่อรองกับคนขับว่าพาไปเมาะตะมะหน่อยได้ไหม อยากไปดูว่าฝั่งนู้นมีอะไรบ้าง ทีแรกคนขับบอกว่าไม่ได้เพราะตอนที่ตกลงกันบอกว่าเที่ยวเฉพาะที่นี่เท่านั้น และเมาะตะมะก็เป็นคนละจังหวัดกับที่นี่พูดไปหลายครั้งเค้าบอกต้องจ่ายเพิ่มถ้าอยากไป ผมเลยตอบไปว่า "OK I'm rich!!!"


     แล้วคนขับก็พาผมข้ามฝั่งจากเมาะลำไหญไปยังเมาะตะมะ สะพานตาลวินนี้ยาวมาก และยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียวเพราะนอกจากถนนแล้ว บนสะพานนี้ยังมีทางรถไฟด้วย เก๋ใช่ไหมละ
     พอไปถึงแล้วผมแอบผิดหวังเพราะไม่รู้จะไปไหนดี เป็นเมืองเล็กๆที่เงียบมาก แต่พอมาถึงแล้วก็ลองสำรวจดู ตามทางถ้ามีอะไรน่าสนใจก็แวะ นั่งสักพักผมนึกถึงเจดียขาวที่เห็นจากเมืองเมาะลำไหญ ก็ให้คนขับพาไป


     เมื่อมาถึงเจดีย์สิ่งสำคัญมากเลยก็คือถอดรองเท้า แต่ผมก็ลืมจนได้ แต่คนขับก็ท้วงอยู่ สำหรับประวัติหรือข้อมูลของเจดีย์ต้องขออภัย ไม่รู้และหาไม่ได้จริงๆ วัดนี้เงียบมาก ไม่รู้จะไปถามใคร แต่จุดที่สังเกตและแตกต่างจากเจดีย์อื่นๆในละแวกนี้คือการใช้กระเบื้องสีขาวมาประดับบนเจดีย์



     เดินจนครบสามรอบแล้วก็ออกมาจากวัดเพื่อไปยังสถานที่อื่นๆ ต่อ   พอออกมาจากวัดแล้วเห็นเจดีย์บนภูเขา ก็เลยไปชมสักหน่อย รถที่ผมเหมามาไปจอดตรงทางขึ้นถามว่าขึ้นไปยังไง พี่วินแถวนั้นบอกตุ๊กๆขึ้นไม่ได้เพราะทางชันและอันตราย ถ้าอยากขึ้นจ้างพี่วินให้ขึ้นไปส่งและลงมาได้ ผมต่อรองราคานิดหน่อยแล้วก็ตัดสินใจขึ้นวินไปบนภูเขา ช่องนี้แอบเสียดายเพราะไม่ได้ถ่ายทางมาให้ดู ลูกรัง+ชัน!!!


      ด้านบนเจดีย์นี้ก็เป้นวิวที่ดีมากทีเดียว เพราะเป็นเขาที่สูงทำให้เห็นวิวรอบๆแบบพาโนรามา

จากเจดีย์ที่อยู่บนภูเขา มองกลับมายังเจดีย์ขาว งดงาม

วิวรอบๆเมืองเมาะตะมะ

มองจากเมาะตะมะไปยังเมาะลำไหญ สะพานนั้นข้ามมาแล้วนะ เจดีย์ที่เห็นไกลๆนั่นก็ไจ๊ตะหลั่น


     ชมได้สองที่ก็ตัดสินใจข้ามมายังฝั่งเมาะลำไหญ เพราะไม่มีข้อมูลและไม่รู้จะไปไหนต่อ ขากลับก็ได้แต่นั่งมองเมืองเมาะตะมะที่เคยแวะมา

     เมื่อมาถึงฝั่งเมาะลำไหญได้ไปไหว้พระพุทธรูป พระธาตุเจดีย์ต่างๆ ถึงแม้จะเคยมาแล้ว แต่เมื่อได้เคารพบูชาก็ยังสร้างความสุขในใจ


 วัดพระมหามุณี ช่วงที่ผมไปกำลังบูรณะอยู่

 
เจดีย์ไจ๊ตะหลั่น


ชมวิวเมืองจากเจดีย์ไจ๊ตะหลั่น
 
วัดโอคานที
 
วัดเจดีย์อูซิน่า 

     เที่ยวชมวัดรอบๆตัวเมืองแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็น หลังจากทานอาหารเมียนมาร์มาหลายวันหลายมื้อ วันนี้ก็เลยอยากหาอาหารไทยทาน คนขับรถเลยพามาร้านนี้ Chan Chan Htaw (II)


     การตกแต่งของร้านก็ดูง่ายๆ แต่ที่ชอบคือดูแล้วสะอาด เปิดเมนูดูเชื่อไหมว่าผมอ่านไม่ออก แต่มีพนักงานที่พูดภาษาไทยได้ ผมเลยสั่งอาหารพื้นๆมาสองอย่างนั่นก็คือ

ผัดกะเพราะ กับ ผัดพริกแกงปลาหมึก

     รสชาติขอบอกเลยว่าอร่อยมาก อร่อยกว่าบางร้านในไทยอีก ไม่รู้ว่าพ่อครัวเคยขายอาหารอยู่ที่ไทยไหม มาถึงเมียนมาร์แล้วสิ่งนึงที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ...

เมียนมาร์เบียร์

     มาสองคนจะให้มานั่งกินคนเดียวก็กระไรอยู่เลยชวนคนขับมากินด้วยกัน แต่เห็นเค้าเกรงใจเลยสั่งข้าวราดผัดกะเพราให้ 1 จาน กับเบียร์คนละขวด ตอบแทนที่เขาพาเที่ยวในวันนี้ เพราะชีวิตของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ฟังชีวิตคนอื่นมันก็ได้แง่คิดหลายอย่างๆ ผมถามว่าเค้าพูดภาษาอังกฤษได้ยังไง เค้าก็บอกว่าฝึกเอาตามหนังสือพิมพ์ เรียนจบระดับพื้นฐาน เพราะที่บ้านส่งเสียต่อไม่ไหว ต้องออกมาทำงาน แต่เค้าก็พยายามเรียนรู้เพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต นั่นก็ทำให้รู้เลยว่าวันนี้โชคดีจริง แม้ว่ารถของเค้าจะไม่ได้ใหม่ มีเบาะดีๆ ที่นั่งดีแบบตุ๊กๆคันอื่น แต่เขาก็พาผมไปเที่ยวตามที่ต่างๆ อย่างที่ผมต้องการ แม้ว่าค่าเหมาอาจจะแพง แต่ผมก็ได้ช่วยเหลือคนๆนึงที่มีความพยายามในการทำงาน ใฝ่รู้ ให้ตั้งใจศึกษาภาษาที่สามเพื่อความสำเร็จในอนาคตของตัวเขาเอง ก่อนจะดราม่าไปมากกว่านี้ก็เห็นเค้าจัดการอาหารเรียบร้อยแล้ว เค้าก็ขอบคุณเรานะที่เลี้ยง เพราะเค้าไม่เคยได้กินอาหารอะไรแบบนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกสำหรับอาหารไทย ^^ พอจัดการทั้งอาหาร ทั้งเบียร์เสร็จก็ได้เวลากลับไปพักผ่อน


     สำหรับการเดินทางกลับไทยนั้น ผมได้นัดรถสามล้อให้มารับตอนหกโมงเช้า จากนั้นก็เดินทางไปยังท่ารถ พอไปถึงอาจจะชุลมุนนิดนึงเพราะหลายเจ้าก็แย่งตัวเรามาก ผมก็ดูก่อนว่าคันไหนที่จะให้นั่งหน้าก็จะเลือกคันนั้นเพราะจะไม่เบียดไปมาเวลารถผ่านโค้งผ่านเขา
     เมื่อได้รถคันที่ถูกใจก็ขึ้นไป ผมไม่ทราบเหมือนกันว่ารถสามล้อสื่อสารกับคนขับยังไง ทำให้คนขับเงียบกับผมมาตลอด ตั้งแต่เมาะลำไหญ จนถึงด่านตรวจที่กอแกร๊ก ที่ต้องส่งหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ผมได้ยินคนขับบอกเจ้าหน้าที่ว่าเจแปน เจ้าหน้าที่บอกไทย แล้วคนขับก็หันมาถามผมว่าเป็นคนไทยหรอ ด้วยภาษาไทย ผมพยักหน้าแล้วก็บอกว่า ใช่ครับ แล้วก็คุยกันมาจนถึงบริเวณจุดพักรถที่กอแกร๊ก ที่คนขับนั่งเงียบมาจนถึงด่านตรวจเพราะเขาคิดว่าผมเป็นคนญี่ปุ่นเลยไม่กล้าพูด แต่พอรู้ว่าเป็นคนไทยเลยคุยกันได้ เพราะเค้าก็พูดไทยได้เพราะเคยมาอยู่ไทย ทานอาหารเสร็จก็นั่งรถต่อ จากกอแกร๊กสู่เส้นทางดาวนาเรนจ์ แวะจอดล้างรถ แล้วก็เข้าสู่เมืองเมียวดี

     ถึงเมียวดีบ่ายโมงกว่าๆ ถ้ายังมีเวลาว่างก็อาจจะเหมารถต่อเที่ยวรอบๆเมืองเมียวดี เพื่อชม Sister city เมืองพี่เมืองน้องด้านเศรษฐกิจกับแม่สอดได้ครับ สำหรับทริปนี้ก็...สวัสดี

อ่านเรื่องราวอื่นๆได้


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ສະບາຍດີເມືອງລາວ 1 (ໄຊຍະບູລີ) ... สบายดีเมืองลาว 1 (เมืองไซยะบุรี)

9 พระพุทธรูปและพุทธสถานศักดิ์สิทธิ์รอบเจดีย์ชเวดากอง : 9 wonders of Shwedagon Pagoda

เลาะเลี้ยวเที่ยวเมืองตาก...เก็บสตรอว์เบอร์รี ดูเมล็ดกาแฟอาราบีก้า ที่ดอยมูเซอ