มิงกลาบา พะอั่ง : Hpa-An @Myanmar ตอนที่ 1
ออ ส่ง หลา ไซ่ : สวัสดี
ออ ส่ง ออ ไคล่ สีฮา : สบายดีไหม
ออง หมี่ เด่ เสอะ นอ แล้ : กินข้าวกับอะไร
หลี่ เมาก์ หลา ไหซ่ : สนุกปลอดภัยกับทริปของเธอ
-*กระเหรี่ยงโปว์*-
ก่อนจะไปขอตอบข้อสงสัยต่างๆที่คิดว่าคนอื่นต้องอยากรู้เหมือนที่ผมอยากรู้ครับ
Q :เดินทางไปเมียนมาร์จากด่านพรมแดนที่แม่สอดได้ไหม
A : ตอบเลยว่าได้ แต่ต้องดูว่าวันไหนรถไปวันไหนรถกลับ ระยะเวลาเดินทางไปพะอั่งก็ประมาณ 5ชั่วโมง
Q :นั่งรถไปเป็นยังไงบ้าง
A : นั่งหลังก็อึดอัดหน่อย ถ้าเลือกได้อยากนั่งทางฝั่งคนขับเพราะไม่โดนแดด มีฝุ่นเยอะเหมือนกัน ทางบนเขาก็เป็นดิน ในเมืองก็เป็นถนน เตรียมหน้ากากปิดจมูกไปด้วยก็ดี
Q : เอกสารที่ต้องใช้
A : ถ้ามีวีซ่าเมียนมาร์ก็ไปได้โลด ขอวีซ่าได้จากสถานฑูตเลย
Q :เมืองที่น่าสนใจ
A : ใกล้แม่สอดก็มีเมาะลำไหญ และพะอั่ง แต่ถ้าจะเข้าไปถึงย่างกุ้งก็ไปได้แต่ใช้เวลานาน
Q :ระยะเวลาในการอยู่
A : รถไปกลับไม่ได้มีทุกวัน เดินทางมาหนึ่งวัน กลับหนึ่งวัน ก็จะมีวันเที่ยวเต็มๆสองวัน ดังนั้นก็จะใช้เวลารวมอย่างน้อย 4วันเมื่อสร้างคำถามและตอบได้ครบก็ได้เวลาเดินทางไปเที่ยวยังประเทศเมียนมาร์กันแล้วครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงวันหยุดยาวที่ลากลับบ้านครั้งนี้ ในตอนแรกผมวางโปรแกรมท่องเที่ยวหลายที่มาก แต่พอใกล้เวลาก็ตัดออกไปจนเหลือไม่กี่ที่สุดท้ายก็เลือกที่จะไปท่องเที่ยวยังเมืองที่มีป่า มีเขา มีถ้ำที่สวยงามจากการสรรสร้างของคนรุ่นก่อน เมืองสำคัญของรัฐกระเหรี่ยง เมืองที่มีชื่อว่า พะอั่ง (Hpa An)
เพราะเรียกทับศัพท์บางคนก็อาจจะเรียก Hpa An ว่า ผาอัน พะอัน หรืออื่นๆ แต่ในที่นี้ขอใช้ว่า พะอั่ง ตามเสียงที่ผมได้ยินครับ
การเดินทางเริ่มจากประเทศไทย ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ข้ามสะพานมิตรภาพมายังฝั่งเมียวดี แล้วต่อรถไป ก่อนการเดินทางอาจจะต้องโทรไปถาม ตม.ตรงสะพานก่อนว่ารถไปยังเมียนมาร์มีวันไหน เพราะรถสลับวันกัน
ก่อนไปผมแทบไม่มีข้อมูลอะไรเลยว่าจะไปที่ไหน ยังไงบ้าง ทำอะไรตรงไหน พักยังไง แต่ก็โชคดีที่มีพี่ที่รู้จักแนะนำเพื่อนเค้ามาให้ทำให้การเดินทางง่ายขึ้น และหวังว่าจะช่วยให้เพื่อนๆที่ต้องการเดินทาง เดินทางกันได้ง่ายมากขึ้นครับ
เมื่อวันเดินทางมาถึงผมตื่นแต่เช้าและแบกเป้ขึ้นบ่า พร้อมรายละเอียดการเดินทางแบบลวกๆ ถึงจะมั่นใจแต่ก็ยังกังวลว่าจะไปที่ไหนในพะอั่งด้วยอะไร รู้แต่ว่ามีรถตุ๊กๆ รถมอเตอร์ไซส์ให้เช่า ราคาจะแพงไหม งบจะเกินหรือเปล่าก็ไม่มีข้อมูล โรงแรมก็ยังไม่ได้จอง ในเนตก็ไม่มีข้อมูล แต่ก็เอาวะเป็นไงเป็นกัน
ถึงด่านพรมแดนก็เตรียมตัวเตรียมใจแบกเป้และเดินเข้าไปยังสะพานมิตรภาพไทย-พม่า
วันนี้คนเยอะมากเพราะเป็นช่วงที่ชาวเมียนมาร์กลับบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่พอดี ทีแรกผมคิดว่าต้องต่อแถวยาวๆนั่น ผิดคาด มีชาวเมียนมาร์คนนึงเดินมาบอกผมว่าคนไทยอยู่ด้านในให้เดินไปช่องตรวจที่ 3 พอเข้าไปถึงช่องตรวจที่ 3 ปิด แต่ช่อง 4 เปิดอยู่เค้าบอกว่ายื่นช่องนี้ได้ ผมยื่นวีซ่าให้ดูพร้อมรับไปขาเข้า-ขาออกมาเขียน เขียนเสร็จรอยื่นมองไปอ่านข้างบนเห็นขียนว่า "Passport Control"
เสร็จเรียบร้อยก็เดินข้ามสะพาน "ตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ยมาผจญภัยแบบนี้"
ปกติถ้าข้ามจากฝั่งไทยโดยใช้บัตรผ่านแดนจะต้องจ่ายเงินอีก 20บาทเมื่อถึงฝั่งเมียนมาร์ ทีแรกผมก็ไปต่อคิวรอจ่าย แต่เพราะมีวีซ่าอยู่แล้ว พอเค้าเห็นเลยพาสสปอร์ตเค้าเลยไม่เก็บแล้วให้ผ่านเข้าไปด้านใน ช่วงนั้นเงอะๆงะๆพอควรไม่รู้ต้องทำไงต่อ แต่โชคดีเจอพี่คนไทย พี่คนที่เจอบอกให้ไปถ่ายเอกสารบัตรขาเข้ากับสำเนาพาสปอร์ตแล้วนำมายื่นในห้องของตม.
สำหรับร้านถ่ายเอกสารก็เดินออกมาจากด่านพรมแดน เลี้ยวไปทางขวา ข้ามถนนด้วยความระมัดระวัง มองหาร้านน้ำชาแถวๆนั้นจะมีเครื่องถ่ายเอกสารตั้งอยู่ เดินเข้าไปเค้าก็จัดการให้เรียบร้อยทั้งถ่ายเอกสารพาสปอร์ตของเรา และกรอกใบขาเข้า จ่ายไป 20 บาท ตรงร้านนี้ก็มีแลกเงินด้วย แต่เพราะผมแลกมาแล้วเลยไม่ได้แลกเพิ่ม อัตราเท่ากัน 10000 จ๊าต 318 บาท อีกอย่างถ้ายังหารถไม่ได้ก็ลองสอบถามพี่เค้าดู แต่ผมยังไม่ทันได้ถามเค้าก็ถามนั่นนี่ แล้วมีคนเสนอรถมาให้ ผมไปคนเดียวก็ลังเลว่าราคาควรเท่าไหร่ดี เพื่อนพี่บอกว่าไม่เกิน 15000 จ๊าต แต่รถคันที่มาสอบถามเสนอมา 10000 จ๊าต ผมตกลงทันที และเน้นย้ำว่าราคานี้นะไม่จ่ายเพิ่ม แต่ยังไม่ได้ไปที่รถเพราะต้องไปยื่นเอกสารก่อน
กลับไปยื่นเอกสารที่ ตม.ตามคิว ถ้าคนไม่เยอะแป๊บเดียวก็เรียบร้อย พอเสร็จก็มารอขึ้นรถที่ร้านเดิม พอรถมารับก็จ่ายค่าถ่ายเอกสารอีกรอบ เอกสารครั้งนี้สำคัญเพราะต้องยื่นให้ด่านต่างๆตามทางจนกว่าจะถึงจุดหมาย ไม่นานคนขับก็มาเรียกให้ขึ้นรถ ทีแรกผมได้นั่งหน้า พี่คนขับบอกว่าตามจริงต้องจ่าย 15000 จ๊าตนะสำหรับที่นี้แต่พี่ให้น้อง 10000จ๊าต นั่งได้ไม่ถึง 5 นาที มีผู้โดยสารมาเพิ่มเป็นฝรั่งหัวแดง สงสัยเค้าคงจ่ายแพงกว่าผมเลยได้ย้ายไปนั่งเบียดๆด้านหลังกับผู้โดยสารอีกสองคน แต่ก่อนรถออก พี่คนขับก็จับยัดมาเพิ่มอีกคน จากสบายๆเริ่มอึดอัดละ
"แต่เอาวะไหนๆก็ไหนๆแล้ว แค่นี้จะเป็นไรไป"
พอรถเริ่มออกผมก็อัพภาพลงโซเชียลเพราะยังมีสัญญาณโทรศัพท์ของเครือข่ายไทย อัพไปได้สักพักถึงด่านสัญญาณก็กริบ และทำให้รู้ว่าควรเก็บอุปกรณ์แล้วหันมาดูเส้นทางในการผจญภัยครั้งนี้
ตึกรามบ้านช่องจากปูนเริ่มเลือนหายไปจากสายตา สองถนนซ้ายขวามีแต่ป่าเขียว จากถนนยางมะตอยกลายเป็นถนนดิน นั่งแรกๆก็เงียบจนพี่คนขับเริ่มชวนผมคุย
พี่คนขับชื่อยุทธ เคยมาทำงานที่ไทยสิบกว่าปี พี่ยุทธพูดไทยเก่งมาก ถามนั่นนี่ชวนผมคุยตลอดทาง ปัจจุบันการเดินทางไปมะละแหม่งกับพะอั่งนั้นมีทางที่กำลังสร้างเพื่อช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางแต่เสียดายวันที่เราไปถนนสายนั้นปิดเลยต้องมาใช้ถนนที่ใช้อยู่เดิม ทางที่ผมมาครั้งนี้เป็นเส้นทางที่ลัดเลาะตามทิวเขาดอยมอนกุจู หรือที่เรียกกันว่า Dawna Range นั่งไปเรื่อยๆพอถึงยอดเขาก็เป็นทางลง มองออกไปข้างทางหรอ!!! ซ้ายก็เหว ขวาก็เหว แต่เพราะเป็นทางวันเวย์ไม่กลัวเลยว่าจะมีรถยนต์สวนมา ถนนมีช่วงกว้างช่วงแคบ รถจะติดมากตอนช่วงโค้งที่มีรถบรรทุกกำลังขึ้นลงเขา ถ้าจะไปเที่ยวต้องมาเช้าๆจะได้ไม่เสียเวลารถติดตรงนี้ ตามข้างทางอาจมีชาวบ้านนำขันมาแกว่งเพื่อเชิญชวนคนที่สัญจรไปมาทำบุญ ตามทิวเขาดอยนี้มีวัดหลายวัดเลย บ้านของชาวบ้านส่วนใหญ่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ไม้ไผ่ ใบไม้ต่างๆ คุยไป ชมวิวไป หลบแดดไป หลับๆตื่นๆ ก็เห็นว่ารถใกล้ลงเขาแล้ว พอลงจากเขาก็โล่ง ส่วนใหญ่เป็นทางตรง ผมออกมาประมาณ 10 โมงเมียนมาร์ ประมาณ 12.30 น. ก็มาถึงร้านอาหาร เที่ยวนี้แวะทานอาหารกันที่...
จุดพักรถ กอกาเร็ก : Kawkareik
ในที่สุดรถก็มาจอดให้เรายืดเส้นยืดสายกันที่กอกาเร็ก บริเวณโดยรอบส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร ใครผ่านไปมาก็ต้องมาแวะกินข้าวดื่มน้ำกันที่นี่ มื้อนี้คนอื่นก็ทานกันหมด มีข้าวเปล่าพร้อมกับผักเคียง น้ำพริก ซุป และอาหารที่ต้องการ ถ้าสั่งไปเป็นก็ชี้ๆเดี๋ยวเค้าก็บอกว่าเป็นอะไร สาวฝรั่งที่นั่งรถกับผมมาด้วยเป็นชาวสวิส เธอทานเจเจ้าของร้านก็จัดผัดผักมาให้ พี่ยุทธถามว่ากินได้ไหม เธอก็ตอบว่าทานได้ มื้อนี้ผมทานข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ซื้อมาจากไทย 555 เมื่อเช้ากินไม่หมดเสียดาย พอสมาชิกในรถอิ่มหนำกันแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อ
"รู้สึกว่ารถจะแคบกว่าเดิมนะ หรือเพราะเราเพิ่งกินอิ่มกัน"
การสนทนาบนรถนี่ก็แอบฮาตรงที่บนรถมีชาวสวิส 1 คน ไทย 1 คน เมียนมาร์ 4 คน แต่เวลาคุยกันจะคุยเป็นภาษาไทยให้ผมเข้าใจด้วย เพราะชาวเมียนมาร์ที่นั่งข้างผมก็พูดไทยได้ แถมสำเนียงอีสานซะด้วย เพราะพี่แกเคยทำงานแถวๆอีสาน จังหวัดไหนก็ไปมาแล้ว เราคนไทยแท้ๆเขาใหญ่ยังไม่เคยไปเลย คุยกันไปขำกันไปจนมาถึงจุดจอดแวะล้างรถ ก่อนเข้าเมืองรถส่วนใหญ่จะล้างฝุ่นที่ติดมาตามถนนหนทางเพื่อเพิ่มสง่าราศี
จากเมียวดี -> กอกาเร๊ก ->เอ่งดุ๊ แล้วก็มาถึง...
พะอั่ง : Hpa An
เมื่อมาถึงพะอั่งก่อนจะไปถึงตัวเมืองจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทั้งทางเข้าถ้ำที่ยาวที่สุด 1 ใน 5 ของเมียนมาร์ แถมยังผ่านถ้ำหินงอกย้อยและน้ำผุด และสถานที่สำคัญที่ซึ่งเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวกระเหรี่ยงเลยก็คือ ภูเขาซแวกะปิ่ง หรือที่ชาวกระเหรี่ยงเรียกกันว่า แขวขะบ่อง ภูเขาใหญ่ที่เป็นหนึ่งในรายการที่ผมโน๊ตไว้แล้วว่าต้องมาให้ได้ สองข้างทางจากป่า ทุ่งนา เปลี่ยนเป็นบ้านเรือนเต็มไปหมด เสียงแตรปี๊นๆป๊านๆก็ดังโหวกแหวก คนขับบอกว่าใกล้ถึงหอนาฬิกาแล้ว
ยิ่งใกล้ผมก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยว่าจะพักที่ไหนดี ในอโกด้า มีอยู่สองโรงแรมราคาก็แสนแพง ในวิกิก็บอกมีเกสเฮ้าส์อยู่ แต่เพราะความกระชั้นชิดเลยไม่ได้จองล่วงหน้า แต่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนพี่ว่าให้พักแถวหอนาฬิกา ถ้าใครถามว่าพักแถวไหนผมก็จะตอบว่าหอนาฬิกา แล้วพี่ยุทธถามผมถึงที่เรื่องพัก ผมก็ตอบไปว่าหอนาฬิกา พี่รู้จักไหม? พี่เค้าบอกว่ารู้จัก เราก็เออ ออ ทั้งที่ก็ไม่รู้หรอกว่าตรงไหน 55 แล้วพี่ยุทธก็พาไปถึงหอนาฬิกา
พอถึงแล้วพี่เค้าถามว่าลงตรงไหน แต่เพื่อนชาวสวิสที่นั่งมาด้วยก็ยังไม่มีที่พักเลยบอกให้พี่ไปส่งเขาก่อนเผื่อผมจะได้ที่พักด้วย 555 ที่พักแรก Soe brother ขึ้นไปด้วยความมั่นใจ เจ้าของบอกถ้าจองล่วงหน้าไว้พักได้ แต่เราวอร์คอินคืออด เพราะเต็ม พี่ยุทธบอกไม่มีปัญหาเดี๋ยวพาไปอีกที่ แล้วก็นั่งรถไปต่อ ผ่านตลาดด้วย เห็นโมเต็ลแต่ไม่ได้พัก แล้วรถก็เลี้ยวสุดทางข้างหน้าเป็นเจดีย์ดี แล้วก็แล่นไปหยุดอยู่ใกล้ๆเจดีย์ตรงนั้น
"ผมไม่นอนวัดนะครับพี่"
Hpa Pu : พาปุ๊
มองออกมาจากที่พักก็เห็นภูเขาลูกนี้ เดี๋ยวก็ได้ไปสัมผัสใกล้ๆแล้ว
หลังนัดหมายเจอกับเพื่อนก็ออกเดินทางกัน ในกระเป๋ามีกล้อง ไอแพด กระเป๋าตังค์และน้ำขวดนึง พวกเราเดินเลาะกันไปตามทางไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงที่จอดเรือ ไม่รู้จะพูดว่ายังไงดีเลยชี้ไปที่ภูเขาตรงหน้า ชาวเมียนมาร์บอก 500 จ๊าต เราเซเยส แล้วรอสักพักเรือก็มา ทั้งลำมีสมาชิก 8 คน แต่ดูๆแล้วเรือลำที่นั่งนี่มีแต่ฝรั่ง มีหัวดำสองคนคือผมกับคนขับเรือ 555
แล่นไม่ถึงสิบนาทีก็ข้ามมาอีกฝั่งนึง พอมาถึงก็เดินระวังกันด้วยเดี๋ยวตกโคลน ตามทางมีสวนผักที่กำลังขึ้นงอกอย่างสวยงาม เดินเข้าไปอีกนิดจะเจอหมู่บ้าน เข้าไปในหมู่บ้านเจอเด็กๆเล่นกันเต็มเลยสงสัยเพิ่งเลิกเรียนกัน ผ่านบ้านไหนเด็กๆก็บ๊ายบายให้เพื่อนผม ผมบอกเพื่อนว่าลองพูด มิงกะลาบะสิ เอาวะเพื่อนผมก็พูดกับเด็กด้วย หัวเราะคิกคักกันใหญ่
ระหว่างเดินไปตามทางก็มีถูกบ้างหลงบ้างแล้วก็ได้มาเจอพระพุทธรูปประดิษฐานในถ้ำแบบนี้ เข้าไปชมด้านในกันสักแปบ ด้านบนมีเจดีย์ด้วย พอชมเสร็จก็เดินลงมาเพื่อที่จะขึ้นไปพาปุ๊กันต่อ เวลาเดินระวั
กันด้วยครับ มอเตอร์ไซส์ขับเร็วมาก โลดโผนมาก สักพักก็มาถึงทางขึ้น
ทางขึ้นแอบชันแฮะ แอบบ่นอยู่ในใจ แล้วก็เดินต่อ เพราะปกติเป็นคนไม่ออกกำลังกาย ยิ่งเดินขึ้นมากๆก็เริ่มเหนื่อย จากสามสิบขั้นพักที เป็นยี่สิบขั้นพักที แล้วก็สิบกว่าขั้นพักที หอบอยู่พักใหญ่ ด้านบนมีศาลาขอนอนพักแปบนึง พอเอนหลังเท่านั้นแหละ หน้ามืดเลย เกือบเป็นลมซะแล้ว
เดินขึ้นไปแปบนึงก็เจอลานที่กว้างไม่มาก ลานนี้ใช้สำหรับนั่งชมวิวกำลังพอดีเลย แสงแดดรำไรยามเย็น มองไปไกลๆเห็นเมืองผาอันและภูเขาซแวกะปิ่งอยู่ไกลๆ พักเสร็จก็อยากจะไปต่อแต่ก็ไปไม่ได้แล้วเพราะสุดทางแล้ว ได้แต่ถ่ายยอดเขาจากตรงนี้
อ่านตอนต่อไปได้ที่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น