มิงกลาบา พะอั่ง : Hpa-An @Myanmar ตอนที่ 2.1
ห่อ เลอะ อะ เห่ : อรุณสวัสดิ์
โอ้ ชู่ โอ้ เคร อ๋า: สบายดีไหม
อ้อ เหม่ เด่ หรือ หมื่อ ต่า ดึ แล่ : กินข้าวกับอะไร
ชวิ่ง ลัน ชัน มเย่ ป่า เส่ : สนุกปลอดภัยกับทริปของเธอ
*-กระเหรี่ยงสะกอ-*
หลังจากพักผ่อนเต็มที่แปดโมงเช้าวันนี้ก็มีนัดกับทริปเล็กๆที่โรงแรมจัดขึ้น นัดกับโรงแรมไว้ว่าจะมาทาน breakfast ตอน 7.30 น. แต่เพราะหลับเต็มอิ่มมากทำให้ตื่นมาเร็ว เลยมานั่งชมวิวทิวทัศน์จากที่รับประทานอาหารของโรงแรม จำได้ไหม พาปุ๊ ภูเขาลูกเมื่อวานที่ขึ้นไปชมวิวเมืองพาอั่งกันไง
เมื่อได้เวลาอาหารมื้อเช้าก็มาเสิร์ฟ มีขนมปัง ไข่ เกลือ ผลไม้ น้ำชา โรงแรมส่วนใหญ่มักจะเสิร์ฟกาแฟซึ่งผมไม่ทาน ทำให้ต้องพกไมโล โอวัลตินมาด้วย เอาไว้ทานกับขนมปัง เพราะเป็นคนที่กินเยอะและรู้ว่าไม่อิ่มแน่ ทริปนี้เลยมีมาม่าคัพติดมาด้วย แต่ถ้าใครจะพกไวไว ยำยำ นิสชินมาก็ได้ อร่อยคือกัน
อิ่มท้อง ร่างกายพร้อม เอเนอร์จี้เต็มร้อย สำรวจในกระเป๋าดู ข้าวของ น้ำดื่ม ไฟฉาย ขนม กล้องชาร์ตแบตเต็ม ก็ได้เวลาออกเดินทาง ทริปนี้นั่งตุ๊กๆไปกับเพื่อนชาวสวิสเซอร์แลนด์
กางแผนที่ที่ได้จากทางโรงแรม เมื่อรถสาร์ทก็ไปโลด
จากตัวเมืองพะอั่งมุ่งหน้าไปเมืองเองตุ๊
จากตัวเมืองพะอั่งมุ่งหน้าไปเมืองเองตุ๊
...
..
.
สถานที่แรกที่จะไปคือ...
Kaw Ka thawng Cave :ถ้ำก๊อก๊ะกอง
ถ้ำนี้เป็นถ้ำแรกที่เดินทางไปถึง มีส่วนที่เป็นวัดและส่วนที่เป็นถ้ำ ในส่วนของตัวถ้ำมีสิ่งที่ประทับใจคือพระพุทธรูปที่เรียงรายอยู่ภายใน และที่ชอบคือพระพิมพ์ดินเผาที่ติดอยู่ตามผนังถ้ำ สิ่งสำคัญเมื่อมาถึงวัดของชาวเมียนมาร์คือ เมื่อลงจากรถต้องถอดรองเท้าไว้บนรถด้วย พระพิมพ์ดินเผาตามผนังถ้ำมีทั้งสีอิฐ สีขาว และสีทองกรอบแดง ภายในปูพื้นด้วยกระเบื้องต้องระวังลื่นกันด้วยครับ เมื่อเข้าไปด้านในก็ยังมีถ้ำอยู่ในซอกอีก ให้เดินลอดตามทางเข้าไป เมื่อเดินไปตามช่องนั้นก็จะเจอลูกกรง ช่องทางซ้ายมือภายในลูกกรงมีสมบัติล้ำค่า มีพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูป และของสำคัญบางสิ่งบรรจุไว้ในซอกถ้ำ ช่องทางขวามือ ก็มีบรรจุพระพุทธรูปไว้ภายใน แล้วก็เดินออกมาด้านนอก สำรวจถ้ำนี้เสร็จแล้วก็เดินไปชมด้านข้างต่อ
ในตอนแรกผมคิดว่าหมดแล้ว แต่คนขับรถบอกให้เดินตามทางที่มีพระพุทธรูปเรียงรายไป ผมก็เดินชมวิวทิวทัศน์ทุ่งหญ้าป่าเขา และพระพุทธรูปจนเห็นทางขึ้น ข้างบนนั้นคงมีถ้ำอีกถ้ำนึงแน่เลย!!! แต่เมื่อขึ้นไปชมดูแล้วพบว่าถ้ำปิดไว้ ถ้ำนี้ก็ไม่แตกต่างจากถ้ำแรกเท่าไหร่ เมื่อลงมาจากตรงนี้ก็เดินตามทางไปเรื่อยๆแล้วก็จะเจอร้านอาหารอยู่มากมายเลยครับ มีอาหารไทยด้วย บางร้านคนขายก็พูดไทยได้ด้วยนะเออ บริเวณนี้นอกจากเป็นร้านขายอาหารแล้วก็ยังมีน้ำที่ผุดออกมาจากถ้ำมาให้แล้วด้วย น้ำใสมาก แอบเสียดายที่มาเช้าไป ไม่งั้นคงได้ว่ายน้ำสมใจอยาก
ชมบริเวณนี้เสร็จก็เดินกลับไปทางที่มา คนขับรถมารอรับแล้วรถก็ออก นอกจากคันของเราแล้ว Guest house อื่นๆ ก็มีบริการทัวร์แบบนี้ด้วย ชอบจริงๆอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวแบบนี้ ระยะทางจากที่แรกไปยังที่แห่งที่สอง ก็ไปตามถนนหลัก แล้วก็เลาะเลี้ยวไปยังถนนลูกรัง ระหว่างทางก็แวะให้เราถ่ายรูปกับทุ่งนาป่าเขา โค กระบือ ริมข้างทาง ด้วยความที่เห็นอะไรพวกนี้จนชินเลยรู้สึกเฉยๆ แต่รถคันอื่นดี๋ด๊ากันมากครับ พอได้เวลารถก็พาพวกเราไปต่อกันที่ถ้ำชื่อดัง ถ้ำที่ยาวที่สุดในพะอั่ง ...ถ้ำ...
Saddan Cave : ถ้ำซัตดั่น
ว่ากันว่า ซัตดั่นหมายถึงช้าง พอเห็นรูปปั้นช้างด้านหน้าเลยจำได้ บรรยากาศภายในร่มรื่น จอดรถใต้ร่มไม้แถวนั้นแล้วเข้าไปชมด้านในถ้ำ ก่อนจะขึ้นก็นำรองเท้าใส่ถุงที่เตรียมมาแล้วก็นำขึ้นไปด้านบนด้วย พอถึงข้างบนแล้วมองลงมา OHOOOO สวยงามมาก หินงอกหินย้อยตามธรรมชาติ พระพุทธรูปที่เรียงราย และเจดีย์ที่อยู่ด้านใน
ตามผนังถ้ำประดับด้วยพระพิมพ์ดินเผาเป็นรูปพุทธสถานต่างๆ พื้นถ้ำปูด้วยปูน ข้างในมีพระนอนประดิษฐานอยู่ผมได้โอกาสเลยแวะไปสักการะขอพร แล้วก็เดินดูบริเวณนั้น พอหันกลับไปมองทางที่เดินเข้ามา ขลังเหมือนกันนะนี่ แล้วก็เดินตามคนขับรถไป ใส่รองเท้า เปิดไฟฉาย ได้เวลาสำรวจถ้ำกันแล้ว
เดินช่วงแรกพื้นลื่นให้ระวัง ข้างในมีหินงอกหินย้อยเป็นรูปทรงต่างๆ วิบวับแวววาว บางก้อนผมจินตนาการว่าเป็นรูปหน้าคนหันข้าง เดินเข้าไปลึกๆให้ความรู้สึกเหมือนโถงใหญ่ๆสักห้องนี้ บริเวณนี้มีไฟติดด้วย บนผนังถ้าสังเกตดีๆจะเห็นอะไรไม่รู้ดำๆเต็มเลย กลิ่นแปลกๆ ผมคิดว่าคงเป็นมูลค้างคาว ถึงข้างในจะชันแต่ทางดีมากขึ้นลงสะดวก เดินไปได้สักพักก็เห็นแสงสว่างที่ปลายถ้ำอีกด้านแล้ว
ไกด์คนขับตุ๊กๆบอกว่าตอนกลับมีให้เลือกสองทางคือเดินกลับ ทางนี้ฟรี และนั่งเรือกลับเสียเงิน พอได้ยินอะไรที่เสียเงินแล้วทำให้รู้ทันทีว่าจะเดินกลับ แต่ แต่ แต่ พอมองไปเห็นคนอื่นนั่งเรือแล้วสักพักเรือก็ลอดถ้ำไป ผมตกลงทันทีเลยแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะคงเป็นครั้งแรกละมั้งที่จะได้นั่งเรือลอดถ้ำแบบนี้ พอติดต่อได้ก็ขึ้นนั่งบนเรือ ขอนั่งหน้าจะได้เห็นวิวโดยรอบได้สะดวก แล้วเรือก็ออก
เรือพายวนในทะเลสาบย่อมๆสักพักก็พาเข้าไปด้านในถ้ำ ตอนนั้นคือตื่นเต้นมาก ที่ได้นั่งเรือลอดถ้ำนี้ Feel good ข้างในก็มืดๆ ความสูงจากผิวน้ำเยอะเหมือนกันนะเนี่ย เพราะสามารถพายเรือข้ามไปได้เลย แต่ก็คิดอยู่ว่าถ้าน้ำขึ้นคงต้องนอนชมถ้ำแทนที่จะได้นั่งเหมือนปกติ 555 และแล้วก็ถึงทางออก
มื้อกลางวัน
แล้วคนขับรถก็พามาทานอาหารที่ไหนสักแห่ง ทางเข้ามาจะมีบ่อน้ำที่สามารถว่ายได้ น้ำใสมากๆ ร้านอาหารมีเมนูมาให้เลือกเป็นภาษาอังกฤษ ในใจผมอยากกินอาหารของคนที่นี่ เลยบอกว่านานจีโดวมีไหม เค้าบอกมี ปกติไม่ทานไก่ ไม่ทานเนื้อ เลยถามว่าเค้าใส่อะไร พอตอบมาว่า แจ๊ะ ผมเลยต้องบาย เห็นเพื่อนไม่ทานเนื้อสัตว์ก็เลยสั่งบ้าง สบายใจกับตัวเองด้วยไม่ต้องระแวงว่าจะใส่อะไรมา มื้อนี้เลยได้กินฟรายไรท์ ไม่ใส่เนื้อสัตว์ น้ำมันเยิ้มไปหน่อยแต่ก็อร่อยดี
หลังจากอิ่มท้องก็หิวเที่ยว รอสักพักคนขับก็พาไปสวนใกล้ๆนี้ก็คือสวน...
Lumpini Garden : สวนลุมพินี สวนพระ
ผมขอเรียกง่ายๆว่าสวนพระละกันครับ ที่ต้องเรียกว่าสวนพระเพราะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ทั่วบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก มีทั้งจีวรน้ำตาล จีวรเหลือง สวมเครื่องทรง ไม่สวมเครื่องทรง ลักษณะพระพุทธรูปแต่ละองค์ก็แตกต่างกันออกไป เดินๆอยู่เจอพระสงฆ์ชาวเมียนมาร์ใจดีมอบดอกไม้กลิ่นหอมมาให้ดอกนึง
ด้านหลังสวนพระคือภูเขาซแวกะปิ่ง Zwekabin Mt. ภูเขาลูกนี้มีชื่อเสียงและมีความเป็นมายาวนานมาก ชาวกระเหรี่ยงส่วนใหญ่รู้จักภูเขาลูกนี้ เพื่อนเล่าให้ฟังว่า อีกชื่อของเขาลูกนี้คือ แขวขะบ่อง (Kwekabaung) เมื่อได้ยินชื่อภูเขาลูกนี้แล้วทำให้คิดถึงบ้าน เพราะเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งชาติพันธุ์เขา และจะรวมพวกเรากลับมาอีกครั้ง วัดที่อยู่ด้านบนสามารถเดินขึ้นไปตามทางได้ ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมงเลาะไปตามเขา แต่อนาคตมีแพลนว่ากำลังจะสร้างกระเช้าขึ้นไปที่วัดแห่งนี้ สำหรับซแวกะปิ่งนั้นมีเรื่องเล่าจากปู่ย่าสืบมาเป็นตำนานต่างๆ แต่ขอละไว้ไม่เล่าในที่นี้ ไว้ทริปหน้าผมได้ไปพิพิธภัณฑ์และได้ข้อมูลที่แน่นกว่านี้แล้วจะมาเล่าต่อ
หลังจากชมพระพุทธรูปรอบๆแล้วก็ออกเดินทางจากสวนลุมพินีไปยัง สถานที่ท่องเที่ยวที่มีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติกันต่อที่... ตอนต่อไปครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น