มิงกลาบา พะอั่ง : Hpa-An @Myanmar ตอนที่ 2.2

มิง ก ลา บ่า : สวัสดี
เหน่ กอง หล่า : สบายดีไหม
บ่า แนะ ซา แหล่ : กินข้าวกับอะไร
สวิ่ง ลัน ชัน มเย้ ป่า เส่ : สนุกปลอดภัยกับทริปของเธอ
-*ภาษาเมียนมาร์*-


.....................................................................................................

สำหรับบล็อคนี้ก็เป็นตอนสุดท้ายของการเล่าเรื่องพะอั่งในทริปนี้แล้ว ถ้าสังเกตบทความที่เขียนเปิดจะพบถึงความแตกต่างทางภาษาที่นำเสนอ ผมหวังว่าเรื่องที่เขียนไปจะมีประโยชน์เพื่อช่วยในการเดินทางของเพื่อนๆ ที่อยากจะไปเที่ยวเมืองพะอั่ง ประเทศเมียนมาร์ ไม่มากก็น้อยครับ ถ้าไปเที่ยวแล้วเป็นยังไงก็อย่าลืมกลับมาเล่าให้กันฟังบ้างนะ
 



     เมื่อชมสวนพระเสร็จก็ต้องไปชมเจดีย์ที่สร้างขึ้นบนความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ สร้างอยู่บนก้อนหินที่เหลื่อมกัน อยู่กลางทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้นมา นั่นก็คือ

Kyauk ka lat temple :เจ๊ากะลัต


     ชื่อไทยก็มีเรียกกันไปต่างๆนานา ผมขอเรียกว่า เจดีย์เขาหินซ้อนละกัน ประวัติความเป็นมาของเจดีย์นี้ผมก็กำลังหาข้อมูลอยู่ว่าใครเป็นผู้สร้าง สร้างตั้งแต่ตอนไหน แต่ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบผมได้บอกเพียงแต่ว่าเจดีย์นี้เป็นพี่น้องกับพระธาตุอินทร์แขวนหรือไจ๊ธิโย


     เมื่อรถมาจอดบริเวณด้านหน้าจะเห็นเจ๊ากะลัตอยู่ไม่ไกล ถ้าอยากชมแบบได้ฟีลต้องเดินข้ามสะพานแขวนข้ามทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้นใหม่ข้ามไป บริเวณสะพานเป็นวิวที่สวยมากครับ แนะนำให้ถ่ายรูปบริเวณนี้ และหากใครอยากให้อาหารปลาก็ซื้ออาหารปลามาด้วย ให้อาหารเสร็จก็เก็บขยะใส่ในถังขยะ แล้วเดินไปบริเวณเขาหิน เมื่อข้ามมาถึงก็ต้องถอดรองเท้าก่อนจะขึ้นไปทำบุญที่ด้านบน


     ถอดรองเท้าเสร็จก็เดินขึ้นไปชมด้านบน เดินขึ้นตามบันไดไปเรื่อยๆ ถ้าอยู่ด้านบนจะมองเห็นวิวภูเขารอบๆได้สวยมากครับ เมื่อมองกลับมายังสะพานที่ข้ามมาก็ให้ความรู้สึกอีกแบบนนึงเลย เมื่อกี้อยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้ขึ้นมาบนนี้แล้ว เดินไปก็ระวังมูลนกกันด้วย ผมนี่โดนมาแล้ว ดีนะที่โดนแค่แขน เฉียดหัวไป ใจจริงก็อยากขึ้นไปให้ถึงด้านบนสุดแต่ปัจจุบันเค้ากั้นให้ไปถึงได้แค่ชั้นนั้น ระหว่างทางขึ้นมีให้ทำบุญตามศรัทธาแล้วพระจะนำด้ายสีเหลืองมาพันแขนให้และยังแจกโปสการ์ด และปฏิทินเล็กๆอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นของที่ระลึก

     ที่ผมอยากมาพะอั่งก็เพราะอยากเห็นเจ๊ากะลัตนี่แหละ เห็นจากรูปสวยยังไงก็ไม่เท่าอิ่มใจเมื่อเห็นของจริง ดีใจที่ได้อยากเห็นก็ได้เห็น ก่อนกลับก็หันไปดูตรงที่หินเชื่อมต่อกัน โอ๊ววว ธรรมชาติสร้างสรรค์ได้ยอดเยี่ยมมาก เมื่อเต็มอิ่มกับบรรยากาศโดยรอบก็ได้เวลาเดินทางต่อ



     "...ตอนที่เดินอยู่ที่สวนพระนั้น ได้เจอกับพระสงฆ์รูปหนึ่งภายในวัด จู่ๆพระสงฆ์รูปนั้นก็ให้ผมเดินตามไป ผมก็คิดว่าท่านคงมีอะไรให้ช่วย ก็เดินเลาะไปตามสวน จนถึงต้นไม้ต้นหนึ่ง ลำต้นไม่ใหญ่มาก มีผลคล้ายลูกมะพร้าวที่ปอกเปลือกแล้ว พระบอกว่า :กินไม่ได้ แต่ก็ชี้ไปข้างลำต้นมีดอกไม้อยู่ให้เด็ดดอกมา ผมก็นึกว่าให้เด็ดมาแล้วถวายให้ท่าน แต่ท่านบอกให้เก็บไว้กับตัว แล้วก็ทำท่าทางให้เรายกขึ้นมาใกลๆจมูก พอดมกลิ่นเท่านั้นแหละ คือหอมมากจริงๆ หอมจนระลึกชาติได้..." 

     ด้วยความอยากรู้เลยหาข้อมูลจนเจอพบว่าเป็นดอกของต้นสาละ ต้นสาละนี้มีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ชาวเมียนมาร์เรียกว่าต้น Ingyin ความสำคัญคือ ดอก Ingyin เป็นดอกไม้ประจำชาติ สัญลักษณ์อันดับสามของ Burmar



     นั่งรถไปก็ดมกลิ่นดอกไม้ไป กลิ่นของดอกหอมจนทำให้ผมเคลิ้ม ไม่ได้มองอะไรโดยรอบ รู้แต่ว่าผ่านถนน แนวต้นไม้ ด่าน จากถนนยางมะตอยสู่ถนนลูกรัง แล้วรถก็มาหยุดที่ ...

Kawgoon Cave : ก๊อกูนกู่

" ถ้ำก๊อกูน หรือถ้ำพระไสยยาสน์ก๊อกูล เป็นถ้ำหินปูนธรรมชาติ อยู่ที่หมู่บ้านก๊อกูน สูงกว่าระดับน้ำทะเล 116 ฟุต อยู่ด้านเหนือของแม่น้ำสาละวิน สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 " ประวัติคร่าวๆ


     ก่อนจะเข้าไปในบริเวณถ้ำต้างจ่ายค่าเข้าชมด้วย ผมจำไม่ได้ว่า 2 หรือ 3 พันจ๊าตนี่แหละ แล้วก็เดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะเข้าไปชมตัวถ้ำก็อ่านประวัติของถ้ำก๊อกูนกันสักนิดก่อน


     ครั้งแรกที่เห็นขอบอกเลยว่าตะลึงสุดๆ สวยและแปลกตามาก ถ้ำที่ได้เห็นผ่านๆมาทั้งวันถึงบางอย่างจะแปลกใหม่สำหรับผม แต่มาเจอถ้ำก๊อกูนแล้วทำให้ลืมความงดงามของที่อื่นๆไปเลย ตามผนังถ้ำ ช่องต่างๆมีลวดลายของพระพุทธรูปแบบมอญอยู่เกือบทุกจุด ตามทางเดินก็มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ระหว่างเดินผมได้แต่คิดในใจ

"คนสมัยนั้นเก่งมากที่สลักพระพุทธรูปไว้บนผนังถ้ำได้ แรงศรัทธาจริงๆ"


     "ถ้าให้บรรยาย ผมก็บรรยายความสวยงามของถ้ำนี้ไม่ได้"


.....................



     เมื่อเข้ามาถึงด้านในสุดก็จะพบพระปางไสยยาสน์ สักการะกราบไหว้บูชาเสร็จแล้วผมก็อยู่ที่นี่สักพักใหญ่ๆแล้วไปยังถ้ำอีกถ้ำนึงที่ไม่ไกลจากที่นี่


Yathepyun Cave :ยาเต๊ะเปลี่ยนกู่



     ถ้ำยาเต๊ะเปลี่ยนหรือถ้ำฤษีเหาะ อยู่ไม่ไกลจากถ้ำเก๊ากูน ถ้ำนี้แปลกตาสำหรับผมเหมือนกันเพราะเป็นเหมือนช่องเปิดของถ้ำแต่ได้มีการสร้างบันได้ รั้วและประดิษฐานพระพุทธรูปไว้จำนวนมาก บริเวณสะพานนี้เป็นบริเวณที่ผมคิดว่าถ่ายภาพโดยรวมของถ้ำออกมาได้สวยสุดๆ

 

     ระหว่างทางขึ้นไปยังถ้ำพบเห็นลิงจำนวนมาก แอบกลัวโดนกระชากกล้องอยู่เหมือนกัน แต่เดินเร็วเลยผ่านพวกลิงมาได้ ด้านบนก็มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ตามผนังถ้ำมีพระพิมพ์ดินเผาแต่มีไม่มาก


เข้าไปด้านในก็จะมีเขียนบอกว่าสิ่งต่างๆในถ้ำและรอบบริเวณมีความสำคัญอย่างไรบ้าง

 

     ถ้าเดินตามพระพุทธรูปใหญ่ทั้ง 7 ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นพระประจำวันเข้าไปจะพบส่วนของถ้ำที่เป็นหินตามธรรมชาติ


     ใกล้ทางออกจะเห็นแสงสาดเข้ามาทำให้เห็นหินงอกหินย้อยต่างๆได้ชัดเจนขึ้น ผมเดินขึ้นไปตามทางจนสุด สรุปว่าทางนี้ออกไม่ได้ ต้องออกทางที่เราเข้ามา หันไปเจอที่นั่งเลยแวะถ่ายรูปด้วย


     การชมถ้ำต่างๆในวันนี้เสร็จเร็วกว่ากำหนด คนขับรถก็บอกให้ผมกับเพื่อนนั่งรอไปก่อน พอได้เวลาก็ออกเดินทาง

Bat Cave : ถ้ำค้างคาว

     เมื่อรถมาจอดที่ทางเข้า ผมกับเพื่อนก็เดินตามทางไปจนเจอปากถ้ำ ด้านบนปากถ้ำมีรอยคล้ายๆรอยที่ติดพระพิมพ์อยู่ คิดในใจว่าคงต้องไปส่องค้างคาวในถ้ำนี้แน่เลย แต่เปล่าเลยคนขับบอกให้ขึ้นไปด้านบนไปชมวิวบนนู้นก่อน ประมาณห้าโมงครึ่งให้ลงมาด้านล่าง


     ทางขึ้นชันมากต้องเดินระวังกันทีเดียว บนนี้มีเจดีย์ใหญ่ๆอยู่ ขึ้นไปด้านบนสำรวจรอบๆเจอกรุ๊ปจากเกสเฮ้าอื่นที่เจอกันเมื่อเช้าด้วย จำหน้ากันได้แล้วก็ทักทายกัน ส่วนใหญ่มีแต่ฝรั่งหัวแดง บนนี้หัวดำมีแค่ผมกับชาวเมียนมาร์อีกคนที่แวะมาเที่ยว พอเมื่อยก็นั่งพักแถวๆนั้น แต่ถ้าใครใส่ขาสั้นระวังต้นตำแยกันด้วย หญ้าดอกสีม่วงๆ ถ้าโดนแล้วคันมั่กๆ อากาศตอนเย็นกำลังดีเลย ไม่ร้อนไม่เย็น วิวรอบๆก็สวย  มองไปเห็นแสงจากดวงอาทิตย์ที่กระทบสายน้ำสาละวินในเวลาเย็น สายน้ำที่ไหลจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ จากพะอั่งไปยังมะละแหม่ง เมาะตะมะ แล้วออกสู่ทะเล ชมเพลินจนเกือบจะลืมเวลา


     ประมาณห้าโมงครึ่งผมกับเพื่อนก็ลงมาด้านล่าง มานั่งรอชมค้างคาวที่บินออกจากถ้ำเพื่อหากินในเวลากลางคืน พอใกล้ๆหกโมงก็เริ่มมีออกมาทีละตัวสองตัวสามตัว และไม่นานนักก็ออกมาเป็นฝูง บินตามกันไปทั่ว  บินไปทางสะพานตาลวินและวนไปรอบๆ ทางด้านล่างก็มีชาวบ้านเคาะเป็นจังหวัดพอเสียงเปลี่ยน คลื่นความถี่เปลี่ยนค้างคาวก็สั่นไหวขึ้นลงเป็นจังหวะ ไม่เคยเห็นค้างคาวเยอะขนาดนี้ ครั้งแรกเลยนะเนี่ย สมกับเป็นถ้ำค้างคาวจริงๆ นับไม่ถ้วนและกะปริมาณไม่ได้ด้วย นอกจากเห็นค้างคาวแล้วก็มีเสียงกับกลิ่นมูลค้างคาวให้ได้สัมผัสกันด้วย ได้เวลาอันสมควรคนขับรถก็มาเรียกให้กลับเพราะเดี๋ยวจะมืด



     บรรยากาศข้างทางกับท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง รถราเปิดไฟหน้าขวักไขว่ คนไปทำงานก็เริ่มกลับบ้าน นกก็บินกลับรัง เมื่อถึงที่พักก็จ่ายเงินค่าทริปรวม 25000 จ๊าต หารสอง ก็ตกประมาณคนละ 400 บาท อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น 10000 จ๊าต - 320 บาท ลองคำนวณแล้วคิดว่าคุ้มค่ามากกับทริปนี้ คือเอเนอร์จี้ไม่เหลือในการไปไหนต่อ เลยเดินหาอะไรกินอยู่แถวที่พักก็กลับ มองจากระเบียงไปยังพาปุ๊ มองเลยไปไกลๆ แล้วหลับตา

 "เมื่อตะวันลับขอบฟ้า คล้ายคนที่กำลังหมดแรง คงได้เวลาเติมพลังด้วยการนอน"
 .....................................................................................................

ปัณฑ์ จันทร์แก้ว

อ่านเรื่องราวอื่นๆได้

ดูแบบ 720P นะครับ




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ສະບາຍດີເມືອງລາວ 1 (ໄຊຍະບູລີ) ... สบายดีเมืองลาว 1 (เมืองไซยะบุรี)

9 พระพุทธรูปและพุทธสถานศักดิ์สิทธิ์รอบเจดีย์ชเวดากอง : 9 wonders of Shwedagon Pagoda

เลาะเลี้ยวเที่ยวเมืองตาก...เก็บสตรอว์เบอร์รี ดูเมล็ดกาแฟอาราบีก้า ที่ดอยมูเซอ