Mayahimalayan 2 : The Magical Land @Deqin

 
ความงาม และ ความเชื่อ
ในดินแดนที่แสนวิเศษ
-----
     หลังจากเมื่อคืนหลับไหลไปอย่างมีความสุข วันที่ 4 นี้ผมก็รีบตื่นแต่เช้า เพื่อมาดูว่าวิวภูเขาหิมะ เปิดหน้าต่างห้องยังไม่จุใจ ก็รีบวิ่งขึ้นไปบนระเบียงโรงแรม แล้วเก็บภาพมา
 

Montagne neigé du matin.
หิมะวันอรุโณทัย

แสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่อง ลงกระทบเทือกหิมะเหมยลี่ 
โดยมีพระจันทร์ยังสว่างอยู่ๆห่างๆ งดงามจับใจมาก
     
   เพื่อนผู้อ่านบางคนอาจจะคิดว่า Hey You ทำไมต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขขนาดนั้น?

 "ที่ผมรู้สึกดีใจและมีความสุขที่ได้เห็นแนวเทือกเขาหิมะเหมยลี่ ก็เพราะเป็นแนวเทือกเขาที่สูงมาก หนึ่งปีจะมีเพียงสามสิบวัน ที่จะเห็นแนวเทือกเขาทั้งหมดออกมาพร้อมกันโดยไม่มีเมฆบัง ฉันเห็นแบบนี้ก็เลยดีใจและมีความสุข"

     แผนการวันนี้คือการไปชมธารน้ำแข็งหมิงหย่ง ค่ารถเหมา 1วัน 200 RMB การเดินทางไปธารน้ำแข็งนั้นอาจจะลำบากสักหน่อยเพราะทางเดินชันมาก และด้านบนช่วงที่ผมไปร้านขายอาหารก็ปิด หากใครจะเดินทางไปก็ควรกินข้าวเช้าให้พร้อม พกอาหาร ขนม น้ำดื่มไปกินระหว่างทาง พกยาดมไว้ดม พกพัดไว้พัด พกออกซิเจนกระป๋องไประหว่างเดิน อะไรหนักๆก็เอาฝากไว้ที่โรงแรม เมื่อรถที่นัดไว้มาก็ไปกัน

     รถขับมาตามถนน Nation Road แล้วจอดแวะให้ถ่ายรูประหว่างทาง
 
ตรงจุดนี้มองไปที่ภูเขาหิมะเบื้องหน้ายิ่งใหญ่จริงๆ
 
ตื่นตาตื่นใจ
     รถแล่นตามทางเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ขายตั๋วของธารน้ำแข็งหมิงหย่ง มาจนถึงจุดนี้เงอะๆเงิ่นๆว่าจะซื้อตั๋วแค่ธารน้ำแข็งอย่างเดียว แต่เจ้าหน้าที่ไม่ขาย ต้องซื้อเป็นชุด ชุดละ 228 RMB น้ำตาแทบไหล แพงมาก ไม่รู้จะได้ไปจุดอื่นด้วยไหม แต่ไหนๆก็มาถึงก็ต้องจ่าย ตรงที่ขายตั๋วมีห้องน้ำให้เข้านะครับ เป็นห้องน้ำแบบทั่วไป หากใครปวดหนักเบาจำเป็นต้องเข้า ก็ใช้บริการตรงนี้ เพราะด้านในผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีให้ใช้บริการไหม

     ผ่านจุดตรวจ ผ่านไม้กั้น ก็นั่งรถชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ มองดูแม่น้ำหลันชางด้านข้าง มองดูภูเขาหิมะ พอรถข้ามสะพานไปอีกฝั่ง อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงแล้ว

     พอถึงจุดจอดรถก็ต้องเสียเงินค่ารถไปส่งที่ด้านบนอีก คนละ 75 RMB ทีแรกจะเดินเอาเพราะค่ารถแพง แต่สุดท้ายก็กลับมาซื้อเพราะทางเดินไกลมาก เจ้าหน้าที่ขายตั๋วบอกว่า รถจะไปส่งถึงจุดจอด ถ้าจะกลับลงมาให้โทรตาม 

     ตอนนั่งรถนี่รู้เลยว่าทำไมถึงแพงแต่คุ้ม เพราะทางเดินขึ้นสุดยอดแห่งความชัน โค้งไปโค้งมาที่เจอยิ่งกว่าโค้งหักศอก แต่เป็นโค้งพับศอก คนขับก็เก่ง ชำนาญมาก ถึงจุดจอดโดยสวัสดิภาพ

     ตอนเดินแรกๆก็ชิลแหละครับ แต่พอเดินๆ ชันขึ้นเรื่อยๆ หอบเริ่มแดร๊ก
 


 
 
ต้นสนใหญ่ ไม่รู้ว่าเขียนว่าอะไร

 
เดินมานิดเดียวเหนื่อยละ ไปต่อไม่ไหวก็นั่งพัก สูดออกซิเจน ทานขนม ดื่มน้ำ ดมยาดม 
 
 ตอนแรกกะว่าจะมานั่งพาหนะขึ้นไป แต่ปรากฏว่าวันนั้นไม่มีจ้า เดินกันต่อไป
 
 
ธงมนตราเต็มไปหมดเลย
 
กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้เล่นเอาเหนื่อยกันเลยทีเดียว 
 
วัดเทียนซื่อ (Taizi Temple) อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2940 เมตร เดินอ้อมด้านข้างวัดเพื่อไปยังธารน้ำแข็ง

 
ด้านข้างเป็นที่อยู่ของพระสงฆ์ มีโซลาร์เซลล์ใช้ด้วย
ขนขาวๆคือตัวจามรี ขามาตรงนี้มีผู้หญิงคนนึงชวนให้นั่งพักก่อน แล้วค่อยไปต่อ

 
ไปทางไหน แยกซ้าย หรือ แยกขวา
     เดินมาจนถึงจุดนี้ เอาแล้วละสิจะไปทางไหน ผมขอบอกไว้ละกัน จะได้ไม่เข้าใจผิด ถ้าแยกไปทางซ้ายจะไปยังจุดชมธารน้ำแข็งหมิงหย่ง ถ้าไปทางขวาตามตัวหนังสือสีเขียวจะไปยังวัดเหรียนหวา (Lianhua Temple) ซื่งผมเข้าใจผิดว่าไปทางขวาจะไปจุดชมวิวธารน้ำแข็ง เดินต่อไปสิอีก 2.5 กิโลเมตร

เดินกันต่อแบบไม่รู้อะไร คิดแต่ว่าทำไมยิ่งเดินยิ่งไกลนะ
 
 
มองกลับลงไป ชันมากเลยนะเนี่ย 
     ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล แต่โชคดียังมีคนตามมา ถามคนลุงที่เก็บเศษขยะตามทางว่าหมิงหย่งแล้วชี้มาที่ทางขึ้น คุณลุงพยักหน้า ก็เออออกันไปสิ  คราวนี้ก็มีเพื่อนร่วมทางเพื่อนอีกคน เดินก็เดินพร้อมกัน พักก็พักพร้อมกัน แต่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง 555

     ตามทางที่เดินมามีทั้งกองหิน มีทั้งเศษขยะ รวมถึงเงิน ถ้าใครมาเที่ยวแล้วอย่าลืมเอาขยะที่ติดัวมากลับลงไปด้วยนะครับ หรือไม่ก็ทิ้งลงในถังที่จัดไว้ให้ ไม่ทิ้งเรี่ยราด ช่วยคุณลุงเขาอีกแรง

 
Oh Lala!
เดินมาจนถึงจุดนี้แล้วหรอเนี่ย จุดที่สูง ขนาดมองเห็นแนวเทือกเขาหิมะไกลๆได้ วิวดีมาก สตั้นจริงๆ


 
ป้ายอะไรสักอย่าง แจ้งให้เราช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม 
ถ้าอยากให้ธรรมชาติอยู่กับเราไปนานๆต้องช่วยกันรักษาไว้นะครับ

เดินมาถึงตรงนั้นรู้เลยว่ามาผิดทาง จะไปจุดชมวิวธารน้ำแข็งแต่มาโผล่ที่...
 
วัดเหรียนหวา : Lotus temple :Lianhua Temple
วัดนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 3480 เมตร 
รอบๆวัดมีธงมนตราติดอยู่เป็นจำนวนมาก ตรงประตูมีภาพปากทำท่าจุ๊ๆ ห้ามส่งเสียงดังติดอยู่

     วัดต่างๆที่อยู่ตามทางแบบนี้ ผมไม่กล้าแวะหรือเข้าไปดูข้างใน เพราะไม่เข้าใจภาษาที่เขียนติดอยู่ และไม่รู้วัฒนธรรม ไม่รู้ว่าเข้าไปได้ไหม ต้องทำอย่างไรบ้าง เลยชมและทำความเคารพสิ่งศักสิทธิ์ภายในวัดด้านนอก 

     อยากรู้ประวัติของที่นี่เหมือนกันนะ แต่อ่านภาษาจีนไม่ออก 

มองไปยังธารน้ำแข็ง

 
 วิวจากข้างหลังวัด
     ถึงจะมาผิดจุดแต่ไม่ผิดหวังที่ได้มาถึงวัดนี้ แม้ว่าการเดินทางด้วยเท้าจะลำบาก และเหนื่อยแค่ไหน แต่เพราะความเชื่อความศรัทธาของคนและศาสนา ที่ทำให้มีวัดและมีธงมนตรามาประดับอยู่ที่นี่จำนวนมาก 

      ขณะชมตัววัดได้ยินเสียงสักอย่างคล้ายฟ้าร้องคำราม แต่มองบนฟ้าก็ไม่มีเมฆ หันไปมองตรงภูเขาหิมะ แล้วได้แต่คาดเดาว่าเป็นพายุหิมะข้างบนนั้น กำลังเริ่มก่อตัว พอชมจนรอบ นั่งพักจนหายเหนื่อยก็ได้เวลาลง แต่พออกมาหน้าวัดไม่เจอคุณลุงซะแล้ว ไปไหนก็ไม่รู้

     ขาลงนี่ก็ไม่ง่ายเลย นึกว่าจะง่ายกว่าเดินขึ้น คือขาแข็งจนปวด เดินไปพักไป 
แต่ก็พยายามเดินมาจนถึงทางแยก
     เดินมาจนถึงทางแยก ยังมีเวลาเหลือ จุดชมวิวธารน้ำแข็งก็อยากไป ขาก็ปวด เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ไหนๆก็มาถึงแล้ว ลุยกันสักตั้ง แล้วก็เดินไปทางแยกซ้าย ผ่าน Resturant แต่ช่วงที่ไปร้านปิด ให้เดินตามธงมนตราไป ตามทางจะเป็นเทอเรสสีส้ม ช่วงนั้นเหนื่อยมาก แต่พยายามเดินไปเรื่อยๆ ภาพอะไรก็เลยไม่ค่อยได้ถ่าย จนถึง
 
จุดชมวิวของธารน้ำแข็ง เราสามารถเดินไปจนสุดด้านบนนู้นเลย ทางเดินดีมาก แต่ผมไม่ไหว เดินได้แค่นี้
 
ยิ่งใหญ่มาก ธารน้ำแข็งพันปี แต่ปัจจุบันละลายไปเยอะแล้วจากภาวะโลกร้อน

 
ซูมใกล้ๆ
 
ละลายทีละเล็กละน้อย รวมเป็นแม่น้ำหลันชาง จากจีน สู่อินโดจีนเป็นแม่น้ำโขง

 
ภูเขาข้างๆ

     เดินชมบรรยากาศจนได้ที่ก็ได้เวลากลับ ขากลับก็เดินตามทางมาเรื่อยๆ มีคนจีนทักทายตามรายทาง เดินมาจนใกล้จะถึงทางขึ้นรถเจอคนจีนกลุ่มนึง ก็รบกวนให้เขาช่วยโทรหารถที่มารับ-ส่ง ตรงทางขึ้นให้ เขาก็ติดต่อไป ผมก็ได้แต่ เซี่ยๆ ขอบคุณเขา แล้วมารอที่จุดขึ้นรถ สักพักรถก็มารับ
 
     ขาลงใช้เส้นทางคนละเส้นกับขาขึ้นแต่ชันไม่แพ้กัน
        
 
ต้นสายแม่น้ำโขง
     ขากลับ ทีแรกมีแผนจะแวะถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้ แต่พอขึ้นรถแล้วหมดแรงจริงๆ หลับจนถึงโรงแรม
 
แม่น้ำหลันชาง (ล้านช้าง)
เย็นวันนั้นเดินหาร้านอาหารที่มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษ เจอร้านอาหารใกล้ๆโรงแรม
 
เมนูนั้นได้ข้าวผัดไข่ ผัดผัก กับน้ำพริกกุ้งแห้งของแม่
มื้อนี้อร่อยสุดๆเพราะน้ำพริกจากเมืองไทย 55

   อิ่มท้องแล้วก็มาอิ่มความรู้กันสักนิด

"ภูเขาหิมะเหมยลี่"
     ชาวทิเบตเชื่อกันว่าภูเขาแห่งนี้มีความศักสิทธิ์ และยังไม่มีมนุษย์คนไหนพิชิตได้ ชาวเราที่อยู่ตามแนวลำน้ำโขงตอนล่างอาจจะไม่คิดเลยว่าต้นน้ำของแม่น้ำโขงจะเป็นเทือกเขาหิมะ เลยบริเวณเทือกเขานี้จะเป็นต้นสายของแม่น้ำสาละวิน และด้านหลังของเทือกเขานี้คือจินซ่า ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำแยงซีเกียง เราอาจไม่เคยคิดเลยว่าแม่น้ำสามสายสร้างอารยธรรมหลากหลายจะมีต้นสายอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน

     ในอดีตอาจจะมีนักปีนเขาหลายคนอยากจะพิชิตยอดเขาคาวาเกโป ของเทือกเขาหิมะเหมยลี่นี้ แต่ไม่มีใครทำได้ และไม่มีใครได้กลับมา เพราะเมื่อมีข่าวว่าจะมีคนปีนเขา ชาวทิเบตจะสวดมนต์ภาวนา จนในปัจจุบันรัฐบาลจีนสั่งห้ามไม่ให้ปีนยอดเขาแห่งนี้  นอกจากเรื่องความอันตรายแล้ว ผมก็คิดว่าคงเป็นเพราะความเชื่อของคนท้องถิ่นที่ว่า พื้นที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าด้วย แต่ก็ดีนะครับที่สั่งห้ามเพราะหากวันได้มีคนปีนได้สำเร็จ ก็มีอีกหลายคนตามมา พื้นที่อาจถูกปล่อยปละละเลยจนเสื่อมโทรมจากฝีมือมนุษย์ได้  เทือกเขานี้มีความศักสิทธิ์กับชาวทิเบต แต่น้ำที่ละลายจากธารน้ำแข็งของเทือกเขานี้มีความศักสิทธิ์ต่อชาวลุ่มแม่น้ำโขง เพราะเชื่อกันว่าแม่น้ำโขงเป็นที่อยู่ของพญานาค

     -----
     วันที่ 5 ตื่นเช้ามาก็ไหว้พระ สวดมนต์ แล้วก็ไปหาอะไรกิน เดินไปร้านอาหารเปิดอยู่ มื้อเช้าวันนี้ก็หนีไม่พ้น ข้าวผัดไข่ คืออยากจะสั่งอย่างอื่นเหมือนกันนะแต่พูดกันไม่รู้เรื่อง เปิดภาพให้ดู เขาก็ทำให้

     รับประทานจนเสร็จก็ไปใช้ตั๋วที่ซื้อมา 228 RMB ให้คุ้ม โดยการไปชมวัดเฟยไหลซื่อ วันแรกกะไม่เข้าแล้วแต่สถานการณ์บังคับ

 
     เจดีย์ 8 องค์ สร้างเพื่อระลึกถึงนักปีนเขาที่ไปแล้วไม่ได้กลับมา เจดีย์อาจจะเหมือนกันที่สีขาว แต่หากมองใกล้ๆจะรู้ว่าแต่ละองค์มีลักษณะแตกต่างกัน

     แผนของผมวันนี้คือการเดินทางไปแชงกรีลา ในตอนแรกไม่ได้วางแผนหรอกว่าจะไปยังไง แต่มีคนมาเคาะที่ห้อง เสนอราคามา 80 RMB ผมว่าโอเค อยู่ในงบเลยตกลงไป แต่บอกเขาว่าขอแวะตรงโค้งโอเมก้าด้วย เขาบอกได้ผมเลยโอเค

     ถึงเวลานัดก็ Check-Out ออกมารอด้านนอก ถามชื่อโรงแรมกับเจ้าของ เจ้าของก็ใจดีบอกว่าถ้าเขาพาไปไม่ถึงที่หรือไม่พาเราไปแวะก็โทรบอกเขาได้ โดยรวมแล้วถือว่าโรงแรมนี้ผ่าน มีแต่ไม่เข้าใจราคากันตอนวันแรกแค่นั้น 

    รถมารับผมแล้วก็ไปรับคนจีนอีกสองคนด้านบน สองคนนั้นก็น่ารักดี ชวนเราคุยนั่นนี่ แบ่งปันภาพกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ไปกันมา แล้วรถก็มารับอีกสองคนที่ตัวเมืองเต๋อชิน เมืองเก่าด้านบนถนนดูแคบ มีเลนเดียว รถสวนกันใช้เวลากลับรถนานเลย แล้วก็มีผู้หญิงกับเด็กขึ้นมาบนรถ

     ตามถนนหนทางตอนนั้นหิมะ ละลายไปเยอะมากจากที่ได้เห็นครั้งแรก จากกันวันนี้ไปแล้วคงเหลือเพียงความคงจำจากการเดินทางที่จะจำไว้ แล้วก็มาจอดที่ ... Sutra streamer 
 
เมื่อลมพัดมา จะพัดพามนตรา ไปสู่สวรรค์
 
"ธวัชสูตร" จุดที่สูงจากระดับน้ำทะเล 4292 เมตร

     ผมไม่รู้หรอกว่าตรงนี้ชื่อว่าอะไร ถามเพื่อนชาวจีนที่นั่งรถมาเขาก็แปลแล้วส่งมาให้ว่า "Sutra streamer"
ผมเลยแปลเป็นไทยเองว่า "ธวัชสูตร" เพื่อนบอกว่าสามารถเข้าไปถ่ายรูปข้างในได้แต่ห้ามข้ามธง ให้ยกขึ้น

หากจุดนี้มีชื่อเป็นภาษาไทยแล้วต้องขออภัย เพราะไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรจริงๆ

และแล้วรถก็พาเรามาถึง...โค้งโอเมก้า
 
The First Bend of Jinshajing River

"หนึ่งจินซ่าไหลตามโตรกธารธารา
หนึ่งหัวเต่ากั้นมาสร้างทางน้ำไหล
กลายเป็นหนึ่งโอเมก้าย้อนคืนไป
ก่อสร้างหนึ่ง อารยธรรมยิ่งใหญ่ จากสายน้ำ"

 
          เห็นครั้งแรกมหัศจรรย์จริงๆ นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาใช่ไหม เป็นรูปโอเมก้าเลย ตรงนี้มีแท่นสำหรับถ่ายรูปด้านบน และสามารถเดินลงไปเพื่อถ่ายรูปที่ระเบียงด้านล่างได้ ที่นี่มีห้องสำหรับชมวิว จุดขายสินค้า และห้องน้ำที่นี่สะอาดครับ ให้ผ่าน

     เชื่อไหมว่าทีแรกไม่ได้บรรจุเต๋อชินไว้ในแผนเที่ยว จะมาแค่แชงกรีลา แต่พอมาถึงแล้วรับรู้ได้เลยว่าถ้าไม่มาคือพลาดจริงๆ เพราะจากการได้มาท่องเที่ยวที่เต๋อชินรู้สึกว่าที่นี่วิเศษมาก สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้สร้างไว้ ที่นี่มีทั้งความสวยงามที่สวยจนอยากร้องขอชีวิต ความเชื่อความศรัทธาที่สัมผัสได้ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าขอบฟ้าอยู่ไหน รู้แต่เพียงว่าตัวเองเข้าใกล้ขอบฟ้าที่สุดที่เต๋อชินนี่แหละครับ

     จากข้างทางที่เป็นหิมะ สู่ข้างทางที่เป็นทุ่งหญ้า
รถที่ค่อยๆไต่ระดับลง ข้ามน้ำ ข้ามสะพาน 
มองเห็นนาปาไห่ก็รู้เลยว่ามาถึง...แล้ว



     

ความคิดเห็น

  1. ผลิตภัณฑ์บำรุงรักษา สิว พิณนารา : มาร์คหน้าใส ข้าวหอมมะลิ & น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ສະບາຍດີເມືອງລາວ 1 (ໄຊຍະບູລີ) ... สบายดีเมืองลาว 1 (เมืองไซยะบุรี)

9 พระพุทธรูปและพุทธสถานศักดิ์สิทธิ์รอบเจดีย์ชเวดากอง : 9 wonders of Shwedagon Pagoda

เลาะเลี้ยวเที่ยวเมืองตาก...เก็บสตรอว์เบอร์รี ดูเมล็ดกาแฟอาราบีก้า ที่ดอยมูเซอ