Mayahimalayan ภาค 2 : ฟังกลองบรรเลง ครื้นเครงในเมืองเก่า @ลี่เจียง
ฟังกลองบรรเลง ครื้นเครงในเมืองเก่าลี่เจียง
-----
การเดินทางครั้งนี้ของผม เริ่มต้นจากสนามบินดอนเมือง ประเทศไทย โดยขึ้นเครื่องของไทยแอร์เอเชียร์ เวลา 9.00 น. จากสนามบินดอนเมืองไปถึง สนามบินฉางสุ่ย เมืองคุนหมิง เวลา 12.30 น. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที
เมื่อถึงประเทศจีนแล้ว ต้องปรับเวลาให้เร็วกว่าเดิมหนึ่งชั่วโมง
แผนของวันนี้คือกลางวันว่าง และตอนเย็นต่อเครื่องของสายการบินภายในประเทศจีน ไปยังเมืองลี่เจียง ในตอนแรกผมยังลังเลว่าจะไปไหนดีนะ รอเวลาอีกตั้งนานกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง เลยเดินเล่นรอบๆสนามบินฉางสุ่ย เลยลองไปถามเคาท์เตอร์เช็คอินของสายการบิน พนักงานบอกว่าสามารถเช็คอินกระเป๋าได้เลย ผมเลยโหลดกระเป๋า แล้วก็นั่งเล่นในสนามบิน
มองหาสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งอยู่ไม่ไกล ในความคิดแรกเลยคิดว่าไปเที่ยวตำหนักทองจินเตี้ยนละกัน ก็เลยลงไปที่ชั้น 1เพื่อหารถในการเดินทาง แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่ง เดินเข้ามาท่าทางดูดี และพยายามใช้มือถือแปลข้อความถามว่าจะไปไหน และแนะนำให้เขาพาเราไปเพราะคิดราคาถูกกว่า Taxi ในเมื่อตอนนั้นไม่รู้ว่าจะไปไหนดีจึงไปกับเขา ตกลงราคากันที่ 300 หยวน เพราะความที่มองคนแค่ภายนอก หารู้ไม่ว่าเขาคือมิจฉาชีพ เพราะหลังจากกลับจากวัด เค้าบอกว่าต้องจ่ายเพิ่ม ค่ารอ ค่าอะไรต่างๆ หันมาพยายามที่จะทำร้ายเรา แล้วก็เปิดรถให้ลงกลางทางเพื่อเจรจา เสียเวลาตรงนั้นเกือบชั่วโมง แล้วผมก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 500 หยวน เพื่อที่จะไปให้ถึงสนามบิน คือเป็นการเสียค่าโง่ที่เยอะมาก
ใครมาที่สนามบิน ถ้าจะออกไปไหนควรระวังให้ดี อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ
แบบผมนะครับ
เมื่อถึงสนามบินก็เข้าคิวสแกนร่างกาย กระเป๋า ด่านนี้ใช้เวลาไม่นาน แต่ใช้เวลารอคิวนานรอเพราะคนเยอะมาก เมื่อผ่านด่านตรวจก็ต้องใส่เกียร์วิ่ง สนามบินใหญ่ และเกตอยู่ไกล กว่าจะวิ่งถึงก็ Final call พอขึ้นไปบนเครื่องผู้โดยสารเต็มลำแล้ว แต่เครื่องยังไม่ออก โล่งอกโล่งใจกันไป ระหว่างรอก็มีผู้โดยสารขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ทันที่เครื่องจะออกก็หลับไปก่อนแล้ว
จากสนามบินฉางสุ่ย มาถึงสนามบิน Sanyi เมืองลี่เจียง ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
ก้าวแรกกับการลงเครื่อง ขาเหยียบพื้นคือสั่น เย็นมาก อากาศหนาวมาก เกือบทุ่มนึงแล้วแต่ฟ้ายังสว่างอยู่เลย หลังจากรับกระเป๋า ก็ต้องแสดง tag ให้เจ้าหน้าที่สแกน ผมว่าการทำแบบนี้ดีมากครับ จะได้ไม่มีใครหยิบกระเป๋าคนอื่นไปมั่วซั่ว ออกจากสนามบินแล้วจะไปเมืองกันยังไงหล่ะทีนี้
ข้างนอกที่มองออกมามีทั้งรถบัสและ Taxi แล้วก็มีผู้หญิงมาคอยยืนเรียกขึ้นรถ ผมก็คิดว่าผู้หญิงที่นี่เก่งจังขับ Taxi ด้วย แต่เปล่า พวกเธอมาติดต่อคนที่จะขึ้นแล้วพาไปที่รถ เคยคิดว่าอยากนั่งบัสเพราะราคาถูก แต่คิดๆดูกว่าจะถึงคงมืดพอดี นั่ง Taxi ไปละกัน แล้วก็มีผู้หญิงคนนึงเข้ามาถามว่าเราจะไปไหน ผมตอบว่า "ลี่เจียงกู่เฉิง" เขาบอกว่า 80 หยวน ผมก็โอเค แต่พอถามว่ารู้จักโรงแรมไหม เค้างง??? เลยส่ง เอกสารใบจองโรงแรมและเบอร์โทรให้ เขาก็โทรหาโรงแรม แล้วบอกผมว่า 100 หยวน ผมก็โอเคนะ เพราะไม่เกินงบที่ตั้งไว้
รถแล่นออกจากสนามบิน จากท้องฟ้าที่สว่างๆก็เริ่มมืด ไฟตามท้องถนนเริ่มสว่าง
เมื่อเข้าสู่ตัวเมือง การจราจรเริ่มคึกคัก รถราขวักไขว่ ฝั่งนึงมีตึกอาคารสูงใหญ่ อีกฝั่งเป็นอาคารโบราณ หลังคามุงกระเบื้อง ที่ตั้งอยู่ลดหลั่น Taxi ขับไปจากทางถนนธรรมดา ค่อยๆ ขึ้นสู่ภูเขาไปทางเมืองเก่า สองข้างทางคือมืดมาก แล้วรถก็มาหยุดที่จุดนึง แล้วให้พวกผมลง จาก Taxi ก็โทรหาโรงแรม แล้วพนักงานโรงแรมก็มารับ แล้วก็จ่ายเงิน สำหรับราคาที่จ่ายผมว่าคุ้มนะ ถ้าขี้งกนั่งรถมาเอง คงหาโรงแรมไม่เจอแน่ๆ เพราะมืดและโรงแรมที่ลี่เจียงเยอะมาก
แล้วพนักงานก็ช่วยยกสัมภาระมาจนถึงโรงแรม ส่ง Passport รินน้ำให้ดื่ม แล้วก็พาไปที่ห้อง
หลังจากใช้Wifi ได้ก็ส่งข้อความหาที่บ้าน ว่ามาถึงแล้ว มาเช็คอุณหภูมิดู โอ้โห 0 องศาเซลเซียส คือหนาวมาก หนาวสุดๆ แต่หนาวแค่ไหนก็ทนไหว ใส่เสื้อกันหนาวเพิ่มแล้วไปเดินเที่ยวกัน
ออกมาจากโรงแรมก็ค่อยๆเดินเลาะไปตามทาง สินค้าที่จำหน่ายก็เป็นของที่ระลึกเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป และเดินๆไปตามทางอาจจะเจอคนดีกลองสนุกสนาน เดินฟังเพลินจนติดหู ตื่อตือตือตื้อตือตื้อ ตื้อตือตือ ถ้าไม่ติดว่าต้องไปที่อื่นต่อจะซื้อกลับมาตีที่บ้านสักใบ จังหวะสนุก ได้ยินแล้วอยากเต้นตาม ฟังแล้วมีความสุข นอกจากกลองก็ยังมีร้านขายสินค้าจากจามรี และยังมีร้านขายทัวร์อีกหลายร้าน ผมถามราคาไปภูเขาหิมะมังกรหยก ราคาเริ่มต้นที่ 430 หยวน ทีแรกก็จะไปแหละแต่สื่อสารกันยากเลยไม่ได้ตอบตกลงสักที่
พระจันทร์สวยจัง
มองจากข้างล่างขึ้นไปบนภูเขาแล้วสวยจริงๆ
เมืองของชนเผ่า Naxi
เรือนโบราณ ที่เห็นสีๆ คือเธคนะครับ
เดินไปแล้วอยากเต้นตาม เพราะร้านเครื่องดนตรี
จะตีกลองทำนองเดียวกันทุกร้านเลย
ครื้นเครงบันเทิงใจ
น้ำใสไหลเย็น สะท้อนสะพานดาชิเป็นเงารูปแว่นในน้ำ
ประวัติของสะพาน
จุดเด่นเมืองนี้ก็ต้องแวะมาถ่ายรูปกับกังหัน
เดินไปเจอโซนร้านอาหาร ต้องแวะสักหน่อย ได้ข้าวผัด บะหมี่ร้อนๆ มากินคลายหนาว
กุนเชียงในข้าวผัดไม่รู้ว่าหมูหรือจามรี 555 รสชาติพอทานได้
ส่วนบะหมี่ รสชาติจืดๆตามสไตล์บ้านเค้า
หนักท้องแล้วหนังตาก็หนักตาม ได้เวลาก็กลับห้อง
วันแรกนี้ผจญภัยสุดๆ ทั้งการมาเยือนจีนครั้งแรก ฟังอะไรก็ไม่ออก เจอมิจฉาชีพจนเกือบตกเครื่องที่จีน แต่มันก็ทำให้ผมสร้างภูมิคุ้มกันและระแวดระวังขึ้น ทำให้รู้เลยว่าคนแปลกหน้าไม่ปลอดภัย แต่เรื่องดีๆที่พบเจอก็มีนะครับ อย่างเช่นตอนขึ้นเครื่องกรอกใบขาเข้า-ขาออกไม่เป็น ก็มีคนจีนช่วย ถนนบ้านเค้าสะอาดมาก บ้านเรือน สถานที่ท่องเที่ยวก็สวยมากๆเช่นกัน
-----
อากาศที่หนาวจัด รวมทั้งการพักผ่อนที่เต็มที่เล่นเอาซะตื่นสาย ออกมาก็เจอกับเจ้าของโรงแรม เจ้าของก็ทักทายเราดีและพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก ผมถามถึงเรื่องไปหิมะมังกรหยก เพราะสื่อสารกันรู้เรื่อง เค้าบอกว่าน่าเสียดายเพราะวันนี้ไปไม่ทันแล้ว ถ้ามาถามตั้งแต่เมื่อวานอาจจะจัดรถให้ไปกับคนอื่นได้ สนใจไปพรุ่งนี้ไหมค่าเดินทางทั้งหมดเหมาสองคน คนละ 615หยวน แต่เวลาของผมไม่มีแล้ว เลยได้เซย์โนไป ถึงจะเปลี่ยนแผนไปแล้วแต่ก็เสียดายจริง!!!
แผนเดิมล่มก็หาแผนใหม่
จากเดิมต้องไปภูเขาหิมะมังกรหยกแผนใหม่เลยเที่ยวรอบๆตัวเมือง ซึ่งมีสถานที่ที่น่าสนใจ 2 แห่งคือ
1. หว่านกู่โหลว ...เพื่อชมทะเลหลังคา
2.สระมังกรดำ เฮยหลงถัน
สำหรับหว่านกู่โหลวจะอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม อยู่ในย่านเมืองเก่าครับ มองจากมุมไหนก็เห็นเจดีย์กระเบื้องเคลือบสูงๆ ก่อนเข้าไปชมด้านในเสียค่าเข้าชม 50 หยวน ค่าเข้าชมเมือง 80 หยวน
เดินเลาะตามทางไปเรื่อยๆ เดินสูงมากชันมาก มองกลับลงมาขาสั่น
ผ่านประตูนี้ไปก็ถึงแล้ว
อาคารใหญ่มาก สูง 5 ชั้น
ทำความเคารพก่อนขึ้นไปชมวิวเมือง
แต่ละชั้นแสดงงานจิตรกรรม ภาพธรรมชาติ ภาพพระโพธิสัตว์
เพดานชั้นบนสุดเป็นรูปสลักมังกร
วันที่อากาศดีจะสามารถมองเห็นเทือกเขาหิมะมังกรหยกได้ แต่ไม่ใช่วันนี้!!!
มาดูฝั่งเมืองเก่ากันบ้าง มาชมทะเลกระเบื้อง คนละฟีลกับอีกด้านเลย
ลงมาชมรอบๆตัวอาคาร ด้านหลังมีนกยูงด้วย
มุมด้านหลังตรงนี้ก็สวยดี
หว่านกู่โหลวเป็นจุดสำหรับชมวิวที่งดงามของเมืองมรดกโลกลี่เจียง หากใครแวะมาที่เมืองนี้แล้วมีเวลาเหลือสามารถแวะมาชมงดงามของเมืองจากที่นี่ได้ หลังจากชมหว่านกู่โหลว อาจจะแวะหาอะไรกินจากร้านค้าที่เริ่มเปิด แล้วผมก็ไปพักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้ตอนบ่าย 555 คือมาพักผ่อนจริงๆ เลยไม่รีบไม่เร่ง ไปไหนไม่ทันก็ไม่ไป
บ่ายกว่าๆก็ได้เวลาออกเดินทางเพื่อใช้ตั๋วเมืองให้คุ้มกับ 80 หยวนที่ต้องจ่ายไป ระหว่างเดินออกจากโรงแรมเพื่อยังสถานที่ต่อไปแทบอยากกรี๊ด...
ภูเขาหิมะมังกรหยก!!! ออกมาให้เราชมแล้ว โอ๊ย...ดีใจสุดๆ
ถึงจุดที่ชมวิวจะไม่สวยมากแต่คือดีใจอ่ะ
แล้วก็เดินต่อไปยัง...สระมังกรดำ
ประตูวัฒนธรรมนี้มีประวัติ
รีบสุดๆแล้ว แต่มาไม่ทันให้เห็นภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากหลัง
ถึงจะมีไม่มีแต่บรรยากาศแบบจีนที่นี่คือสวยมาก น้ำใสยังกับกระจก
The Moon - embracing Pavilion งดงามยิ่งนัก
ประวัติ ชื่อไทยคงแปลว่า อารามอ้อมกอดแห่งดวงจันทร์ แปลกๆแฮะ
เมื่อดนตรีบรรเลง ความครื้นเครงก็บังเกิด
อีกสักภาพก่อนจากกัน
การเข้าชมสระมังกรดำนั้นฟรี เพียงยื่นตั๋วเข้าชมเมืองให้เจ้าหน้าที่ ภายในมีสระน้ำ มีอาคาร สะพาน ที่มีประวัติความเป็นมา และความงดงามเหมาะแก่การถ่ายภาพ ผมอยู่ที่นี่เกือบสองชั่วโมง เดินไปเรื่อยๆ ชมสิ่งก่อสร้าง รอชมภูเขาหิมะ ดูคนเล่นดนตรี ฟิน ที่จริงถ่ายรูปมาเยอะมาก แต่เสียดายที่ภาพที่ถ่ายมาหายไปเหลือไม่กี่ภาพ จึงเอามาให้ชมได้เพียงเท่านี้ เมื่อชมเสร็จ สามารถเดินจากสระมังกรดำไปยังตัวเมืองลี่เจียงได้ โดยเดินไปตามลำคลองประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะถึงเมืองเก่า
ระหว่างทางก็เจอร้านขายอาหารอีกก็จัดไปปลาหมึกผัดหอมแดง ปรุงรสด้วยมะหล่า ตอนกินก็ไม่เท่าไหร่หรอกเคี้ยวกรึบกรับ อร๊อยอร่อย พอกินเสร็จนี่แหละ เผ็ดแสบปากแสบคอกันเลยทีเดียว
และแล้วการต้องตัดสินใจก็มาถึงอีกครั้งว่าวันถัดไปจะไปไหนระหว่างแชงกรีลากับเต๋อชิน แผนคืออยากไปเที่ยวกับทัวร์ แต่ร้านขายทัวร์แทบทุกร้านคือต้องไปและกลับกับเขา ห้ามลงระหว่างทางก็เลยตัดใจจากทัวร์แล้วเดินไปที่สถานีขนส่ง ขอบอกเลยว่าเพื่อนๆห้ามเอาเยี่ยงย่าง เพราะเดินไกลมากกกกกกก ทางที่ดีที่สุดคือนั่งรถบัสเบอร์ 11 ฝั่งตรงข้ามทางเข้าเมืองเก่าไป
ตอนซื้อตั๋วเป็นกังวลมาก กลัวคนขายตั๋วพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยให้ Information ที่เมืองเก่าเขียนใส่กระดาษว่าฉันจะไปแชงกรีลา กับฉันจะไปเต๋อชิน ราคาเท่าไหร่ เวลากี่โมงให้ พอไปถึงยื่นให้คนขายตั๋ว สรุป!!! คนขายตั๋วสปีคอิงลิชคล่องมาก โล่งอกไปอีกเปาะ เมื่อดูเวลาและเที่ยวรถ เราตัดสินใจไปเต๋อชินรอบเช้าสุด พนักงานขายตั๋วบอกว่าวันพรุ่งนี้ให้มาถึงขนส่งก่อนเจ็ดโมงครึ่งถ้าจะกลับไปเมืองเก่า ให้นั่งรถเบอร์ 11 ตรงป้ายรถเมล์ฝั่งเดียวกับสถานี
เดินออกมาหน้าสถานีเงอะๆงะๆ ไม่มั่นใจ ถามคนจีนว่าแคนยูสปีคอิงลิช เธอตอบมาว่าได้ เราก็ถามรายละเอียดว่าจะไปลี่เจียงกู่เฉิงไปยังไง เธอก็แนะนำมาว่าให้รอตรงไหนยังไง พอรถมาก็บอกคนขับว่าเราจะลงตรงไหน แล้วให้เขาบอกเราว่าถึงป้ายแล้วนะ
ตอนคุยกันก็บอกเธอว่าเราเป็นไท่กั๋วกำลังจะไปเต๋อชิน
เธอบอกว่าเพิ่งกลับจากแชงกรีล่ามา หนาวมาก
และเธอยังบอกว่าชอบมาเที่ยวไทย มาเชียงใหม่หลายครั้งแล้ว
และมีแผนจะเดินทางมาอีก
นั่งรถเมล์ชมเมือง พร้อมกับชมภูเขาหิมะมังกรหยก
ตอนไปหว่านกู่โหลว สระมังกรดำ ทำไมไม่โผล่มาจ๊ะเอ๋กันบ้างนะ
พอถึงเมืองเก่า คนขับรถก็บอกให้ผมลง เดินไปไม่ไกลก็ถึงทางเข้าเมืองเก่า ตอนเย็นๆผู้คนก็พลุกพล่านมาก แล้วตรงลานจะมีชาวบ้านแต่งชุดชนเผ่าออกมาเต้นจับมือกันเป็นวง ใครสนใจก็ร่วมกิจกรรมกับชาวบ้านได้ ผมก็อยากเข้าไปร่วมนะแต่สเตปไม่ได้ ขาไม่ไป 1 2 3 4 5 6 7 8 นับจังหวะก็แล้ว แต่ยังเต้นไม่ได้ เลยดูอยู่ห่างๆ เห็นชาวจีนเข้าไปร่วมในวงสนุกสนานเชียว พอการแสดงสิ้นสุดก็เดินชมของต่อ ว่าแต่กลิ่นอะไรหอมๆนะ?
กลิ่นอันนี้นี่เอง Flower Food
ขนมไส้ดอกไม้ เห็นครั้งแรกไม่ค่อยกล้ากิน แต่พอลองแล้วติดใจมากจนต้องซื้อเป็นของฝากกลับไทย ให้พ่อแม่พี่กินก็บอกอร่อย ขนมนี้ข้างนอกเป็นแป้งปั้นกลมๆ ข้างในเป็นไส้ มีทั้งถั่ว ทั้งดอกไม้ แต่ที่ผมชอบคือไส้ดอกไม้ รสชาติกลมกล่อมและหอมกลิ่นดอกกุหลาบอ่อนๆ พูดละหิว!!! ไปแล้วอย่าลืมลอง
อิ่มขนมไม่ทันไร เดินไปอีกก็หิวอีก จัดไป
ผลไม้เคลือบน้ำตาล ไม้นี้มีทั้งมะเขือเทศ สตรอเบอร์รี่ กีวี เชอร์รี่ รสชาติพอควร แอบผิดหวังเพราะคิดว่าเป็นผลไม้สดทั้งไม้ แต่เปล่าเลยถ้าสตรอเบอร์รี่ที่เป็นครึ่งลูกคือสตรอเบอร์รี่อบแห้ง ลิ้นแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพื่อนๆอาจจะลองชิมก็ได้นะครับ
สำหรับของฝากในเมืองลี่เจียง นอกจากเครื่องดนตรี ขนมไส้ดอกไม้ ก็ยังมีของจุกจิกให้เลือกซื้อเยอะมาก ถ้ามีเวลามากให้ดูราคาก่อนซื้อ นี่พูดละยังเจ็บใจไม่หาย ซื้อโมบายอันนึงตรงใกล้ทางเข้ามาราคา 25หยวน พอเดินเข้าไปลึกหน่อย ราคา 20 หยวน ก่อนถึงโรงแรม 15 หยวน แล้วพวกพวงกุญแจตามกระจาด ร้านนึง 3 อัน 10หยวน ไปเจออีกร้าน 4 อัน 10 หยวน แทบกรี๊ด เลยมาบอกเพื่อนว่าราคาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่รีบซื้อหรือมีเวลามากก็เดินดูก่อน ค่อยเปรียบเทียบราคา แต่ถ้าใครเจออันไหนถูกใจก็ซื้อเลยก็ได้
ช้อปเพลิน เจริญใจก็ได้เวลากลับไปพักผ่อน
แปบเดียวก็ผ่านคืนที่สองไปแล้ว เร็วจัง ถึงวันนี้จะไปได้เพียงสองที่แต่ก็อิ่มแล้วกับการชิลไปรอบเมือง ถ้าอัดสถานที่อื่นๆไปอีกคงเหนื่อยเยอะกว่านี้ ถามว่าประทับใจที่นี่ไหม ตอบเลยว่ามาก บ้านเมืองได้กลิ่นไอความโบาณ อากาศที่เย็นตลอดวัน ผู้คนน่ารัก อาหารการกินก็เยอะ ขนมก็อร่อย ของฝากก็มีให้เลือกซื้อหามากมาย ถ้าให้ไปอีกก็มาได้
พอเช้าก็ขนของออกจากโรงแรม คืนกุญแจ ตามทางเดินของเมืองไม่เหมาะกับกระเป๋าลากจริงๆ เพราะพื้นไม่เรียบ แถมยังลื่นมากด้วย กว่าจะเดินจากโรงแรมมาถึงถนนใหญ่ก็เล่นเอาเหนื่อย ถึงถนนก็ต่อ Taxi ไปสถานีขนส่ง เห็นTaxiทำหน้างง ก็ยื่นกระดาษที่เขียนมาให้ว่าไปขนส่ง จ่ายไป 10 หยวน
ถึงขนส่งเมืองลี่เจียงก็สแกนกระเป๋า ถามเจ้าหน้าที่ว่าตรงไหน แล้วเข้าไปนั่งรอ พอเขาเรียกก็เดินไปขึ้นรถ ก่อนขึ้นควรจัดการตัวเองให้เรียนร้อยทั้งการกินอาหารมาให้อิ่ม เพราะกว่ารถจะแวะทานข้าวก็บ่ายโมงกว่า การเข้าห้องน้ำ เพราะส้วมระหว่างทางเป็นส้วมในตำนาน บางคนอาจไม่สะดวก จึงต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อความสุขตลอดระยะเวลาของการเดินทางจากลี่เจียงไปจนถึง...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น