J-trip ตอนที่ 6 : Nikko is Nippon


ความทันสมัย พบได้ที่กรุงโตเกียว
กิจกรรมทางธรรมชาติ เจอกันได้ที่ฮาโกเนะ
มรดกโลกที่งดงาม จดจ้องได้ที่...นิกโก้
 -------------------------------------------
NIKKO IS NIPPPON
 ------------------------------------------- 

     เมื่อสัมผัสความทันสมัยในเมืองหลวงอย่างโตเกียวแล้ว ถ้าอยากชมมรดกความงดงามที่บรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่นสรรสร้างไว้ในอดีต หากมีเวลาสักสองวันเต็มๆ สักครั้งควรแวะมาชมความงดงามของมรดกโลกที่นิกโก้กันด้วย

 


   การเดินทางไปนิกโก้ของผมเริ่มต้นจาก ประเทศไทย ไป ฮ่องกง ไป ญี่ปุ่น เที่ยวรอบๆ และมาพักย่านอาซากุสะ หลายวันมานี้เดินเหนื่อยมาก แต่ถึงจะเหนื่อยเท่าไหร่ก็บ่ยั่น รอคอยจะมาที่นี่นานเหลือเกิน เหนื่อยกว่านี้ก็เคยมาแล้ว อดทนเอา ^^ ถึงบางทีคนจะเต็มที่กับการเที่ยวแต่สภาวะภูมิอากาศก็ไม่เอื้ออำนวยให้เราเล๊ยยยยย วันนี้ฝนตกอีกแล้ว เมฆครื้มมาก ฟ้าปิดสนิท  เกริ่นมาซะนานมีแต่น้ำเล่าเรื่องกันต่อดีกว่า...


       เริ่มต้นการเดินทางก็ต้องมาที่ย่านอาซุกุสะ ที่ผมมาพักย่านอาซะกุสะ เพราะตอนเช้าจะได้ซื้อตั๋วไปนิกโก้ได้ง่าย เป็นเพราะนั่นเองที่ทำให้ผมเห็นความเป็นเอกลักษณ์ของประตูม้วน หน้าร้านขายของของแต่ละร้าน เชื่อเลยว่าถ้ามากลางวันคงอดเห็นแน่ๆ จากนั้นไปก็ไปซื้อตั๋วที่ สถานีรถไฟของ TOBU ตั๋วมีหลายอย่าง หลาย Pass ให้เลือกซื้อตามความเหมาะสม ตามเวลาที่ต้องการท่องเที่ยวเลย เพราะมีเวลาน้อยดูตามรอบเวลาแล้วเลยซื้อ 2 Day Nikko Pass ได้รถรอบเก้าโมงกว่า  เสียดายมาช้าไปนิดเดียวเสียเวลาเที่ยวเกือบชั่วโมง โปรแกรมวันนี้ทีแรกวาดฝันไว้สวยงามมาก แต่แพลนล่มตั้งแต่เริ่มที่หวังว่าจะได้ไปดูใบไม้เปลี่ยนสีและมรดกโลก ต้องเปลี่ยนเป็นอย่างใดอย่างนึงเพราะแต่ละที่ใช้เวลานาน ลังเลสักพักก่อนจะตัดสินใจเที่ยวมรดกโลกอย่างเดียวเพราะ ฝนตกคงไม่ได้ชมธรรมชาติ ทะเลสาบ น้ำตกอย่างที่คิดไว้ 

     ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะถึงสถานี Tobu Nikko เมื่อถึงก็งกๆเงิ่นๆไปไม่ถูก แต่ก็เดินตามคนอื่นออกมา ดูตารางเดินรถในมือแล้วก็ใกล้เวลาที่รถจะมาแล้วเลยเดินออกมาข้างนอก เห็นป้ายรถเมล์เลยเดินข้ามถนนไป 



     ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะถึงสถานี Tobu Nikko เมื่อถึงก็งกๆเงิ่นๆไปไม่ถูก แต่ก็เดินตามคนอื่นออกมา ดูตารางเดินรถในมือแล้วก็ใกล้เวลาที่รถจะมาแล้วเลยเดินออกมาข้างนอก เห็นป้ายรถเมล์เลยเดินข้ามถนนไป  สักพักรถก็มา ขึ้นประตูหลังและถ้าจะลงให้ลงที่ประตูหน้า โชว์พาสให้คนขับดู

 
รถคันที่นั่งมา ป้าย โอะโมเตะซันโดะ

     สำหรับการเที่ยวชม World Heritage จะลงที่ Omotesando Station เมื่อลงแล้วก็เดินไปตามทางจะเจอวัดแรกอยู่ทางขวามือคือ Rinnoji Temple วัดแรกก็อดชมความงามซะละตอนนี้กำลังบูรณะภายในอยู่แต่เข้าชมได้ เสียค่าเข้าชม การบูรณะโบราณวัตถุที่นี่แปลกอย่านึงคือ เหมือนเค้ารื้อทุกส่วนออกมาแล้วสร้างวัสดุมาครอบและสกรีนภายนอกเป็นรูปของที่นั้นๆ ภายในส่วนที่บูรณะก็มีรูปปั้นพระปางต่างๆอยู่ มีบันไดสำหรับขึ้นไปชมด้านบนได้แต่ผมเดินไม่ไหวเลยดูข้างในรอบๆแล้วออกมา 

 ตั๋วเข้าชมรูปพระศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด / ข้างในวัดรินโนจิกำลังบูรณะ
ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่มีทุกที่เลย

     เดินออกมาแล้วก็เดินไปตามทาง ฝนก็ตกเอาตกเอา ข้างในคงมีอะไรที่ตื่นตาตื่นใจแน่ๆขนาดฝนตกหนักคนยังมาเที่ยวกันเยอะแยะ สักพักก็เจอศาลาลายญี่ปุ่น ประตูไม้เลยถ่ายมาด้วย 



มีป้ายบอกระดับความสูงจุดที่เรายืนอยู่ด้วยว่า 634 เมตรเท่ายอดของ Tokyo skytree ถ้าเดินผ่านประตูไม้เข้าไปจะเจอเจดีย์แดง 5 ชั้น ที่มีสูงและสวยมาก
 


     เดินเข้ามาอีกก็เสียเงินอีก จะเจออาคารที่มีลิงไม้แกะสลักที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะภาพลิงปิดตา ปิดปาก ปิดหู หากเมื่อดูจนครบก็จะพบปริศนาธรรมของนิกายที่แฝงไว้ ดูจบกันไหม???

 

คลิกขวา View Image เพื่อดูความหมายที่แฝงไว้ของแต่ละรูปสลักได้ครับ


     และสิ่งที่ทำให้ตาตี่ๆของผมเบิกกว้างอีกครั้งคือ Toshogu Shrine คืองดงามมากๆ กับศาลเจ้านี้ คิดว่าศาลเจ้าจะมีเฉพาะสีแดง แต่นี่สีขาวสลับทองสลับดำ ลายสลักบนพื้นที่ๆของซุ้มประตู กำแพงหรือพื้นที่อื่นสวยงดงาม จนคิดไม่ออกว่าจะชมว่าสวยยังไงดี ก่อนเข้าไปในศาลเจ้าแวะดูแมวหลับ ถ้าซื้อตั๋วที่เข้าทั้งหมดก็ส่งบัตรให้เจ้าหน้าที่เลย แล้วเข้าไปดูแมวหลับ นี่ก็เป็นปริศนาธรรมและเป็นมรดกล้ำค่าที่ต้องอนุรักษ์ ด้านหลังรูปสลักแมวหลับเป็นทางขึ้นไปที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะเข้าไปในศาลเจ้าต้องเอาร่มกับรองเท้าฝากไว้ก่อน บนศาลเจ้าจะให้เข้าไปเป็นรอบๆ ผมฟังไม่ออกหรอกว่าเค้าพูดอะไร แต่เห็นเค้าทำอะไรก็ทำตาม เมื่อมองผ่านผู้บรรยายไปทางด้านหลังจะเห็นคนทำพิธีสักอย่าง เมื่อบรรยายและทำพิธีเสร็จก็เดินอ้อมแล้วออก (ข้างในห้ามถ่ายรูป)

ศาลเจ้านี้สวยมากครับ ฝนตกมือสั่นถ่ายมาภาพเอียงเลย TT

แมวหลับ/ ลวดลายของศิลปะ

ด้านข้างศาลาหลังต่างๆ


     ออกมาเอาของเสร็จก็ไปยังศาลเจ้าอีกที่ จำไม่ได้ว่าข้างในเค้าทำอะไร แต่จำได้ว่ามีเสียงและแรงสั่นออกมา 
ก่อนกลับแวะเขียนคำอธิฐานกันหน่อย

     ครบแล้วก็ออกมารอรถคิดว่าเดินดูแปบเดียว ตอนนี้ก็สี่โมงกว่าแล้ว มาได้ที่เดียวก็หมดวันแล้วหรอเนี่ยเพลินจริง ที่อื่นๆคงเอาไว้ทริปหน้า เวลาหมดแล้ว พอรถมาก็ขึ้นรถเพื่อหวังว่าจะได้กลับไปที่สถานี Tobu nikko แต่เมื่อรถแล่นไปได้หนึ่งป้าย ผมก็แวะลงอีกที่ป้าย Taiyuinbyo 


     ยังไม่ถึงห้าโมงแต่ที่นิกโก้มืดซะแล้ว ถ้าจะเข้าด้านในต้องเสียค่าเข้าชม 550 เยน เกือบสองร้อย แต่มาทั้งทีก็จ่ายไปละกันถือว่าเป็นค่าเข้าชม พอเข้าไปด้านในเดินดูรอบๆได้แปบเดียว เนื่องจากมืดมาก มีการบูรณะศาลาหนึ่งศาลา และเห็นมีพระมาปิดประตูผมเลยเดินออก บรรยากาศที่นี่ถ้าเป็นกลางวันคงสวยน่าดูเสียดายที่มาช้าไป

     คิดว่านิกโก้ทริปนี้คงพอแค่นี้ วันรุ่งขึ้นก็กลับโตเกียว แต่พอรถมาถึงก็ขึ้นรถ นั่งไปจนถึงป้าย สะพานชินเคียว ฝนก็ตกฟ้าก็มืดแต่สะพานสวยมาก เลยเปลี่ยนแผนวันต่อไปว่าจะมาแวะสะพานชินเคียวก่อน กลับ ให้คุ้มกับค่าตั๋ว 2 day pass 

     วันรุ่งขึ้นอากาศเช้าๆสดใสมาก กลับมาจาก Kinugawa Onsen พอดีกับรถรอบที่วางแผนไว้พอดี
รถรอบเช้าๆไม่ค่อยมีคนขึ้น เลยแวะแต่ละสถานีนาน เมื่อวานวัดไทยยูอินมืดมาก พอรถจอดเลยดูดูรอบๆแปบนึง ก่อนรถออก

 
ข้างๆวัดไทยูอิน

   พอถึงป้าย Shinkyo bridge ก็ลง เช้าแบบนี้อากาศดีมากเลย สะพานสวยมาก ตัดสินใจไม่ผิดที่มาวันนี้ ถ้าลงเมื่อวานแล้ววันนี้ไม่ได้กลับมาคงเสียใจที่ไม่ได้ถ่ายรูปสวยๆกับสะพานชินเคียว

 

      สะพานแดงอยู่ตรงกลาง ฉากหลังเป็นใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสี ด้านล่างเป็นน้ำสีฟ้า อากาศที่ชุ่มชื้น ได้เห็นอะไรแบบนี้แล้วสดชื่นจริงๆ มีเวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 40 นาทีรถมาก็นั่งชมเมืองไปเรื่อย



บ้านเมือง ร้านรวงต่างๆ ที่นิกโก้

 Tenkai Daisojo พระสงฆ์องค์สำคัญ ผู้ซึ่งเป็นผู้ฟื้นฟูวัดต่างๆในเมืองนิกโก้




ป้ายสุดท้ายที่รถเมล์จอด  Tobu nikko Station เมื่อได้เวลาก็ขึ้นรถกลับโตเกียว

 

     เนื่องจาก Pass ไปส่งที่ Asakusa station และสามารถแวะลง Tokyo skytree ได้ ผมก็เลยขอใช้ pass ให้คุ้มหน่อยละกัน แต่ก่อนจะกลับโตเกียว สงสัยกันรึเปล่าเอ่ย ว่าเมื่อคืนผมนอนที่ไหน ???


.......................................................................................

     สำหรับคืนที่ผ่านมา ผมได้ไปนอนพักที่ Kinugawa คินูกาว่ากับนิกโก้นี่อยู่ห่างกันพอสมควรเลยครับต้องต่อรถไฟและรอเวลาว่าแต่ละเที่ยวจะมาเมื่อไหร่ ถ้าใครพักแบบนี้ต้องวางแผนการเดินทางโดยรถไฟให้ดี จะได้ไม่พลาด ผมขึ้นรถไฟจากนิกโก้ไปคินูกาว่าเป็นเที่ยวที่ต่อรถต่อเที่ยวห่างกันหนึ่งนาที พอรถไปถึงสถานีต้องรีบวิ่งไปอีกชานชลาเพราะรถมาจอดรอแล้ว แต่ดีที่พนักงานรถไฟคงเข้าใจแหละเค้าเลยรอคนจากเที่ยวนี้มาขึ้นให้ทัน

     เมื่อถึงสถานีคินูกาว่าก็ถามเจ้าหน้าที่ว่าโรงแรมเราไปทางไหน พอเจ้าหน้าที่ชี้เราก็เดินไปตามทาง ประมาณ 10 นาทีก็ถึงโรงแรม

     โรงแรมที่พักคือ Kinugawa park hotels โดยจองห้องแบบญี่ปุ่น ผ่านทาง Hotels พอไปถึงยังไม่จ่ายเงินทันทีจะจ่ายตอน Check Out โดยจ่ายเป็นเงินสด ด้านหลังโรงแรมมีแม่น้ำ ไม่ไกลจากโรงแรมมีร้านสะดวกซื้อ เมื่อ Check in เจ้าหน้าที่จะพาเราไปยังห้องของเรา หน้าห้องจะเขียนป้ายชื่อเราด้วยพู่กันญี่ปุ่น คลาสสิคดี เมื่อเปิดห้องไปจะมีม่านกั้นก่อน ให้เราถอดรองเท้าไว้ที่นี่ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเปิดประตูบานเลื่อนอีกชั้นเข้าไป ในห้องจะมีโต๊ะเตรียมไว้ บนโต๊ะมีขนมและผ้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะรินน้ำชาให้เรา โหววว ตอนนั้นอย่างกับได้รับการต้อนรับแบบญี่ปุ่น ดีใจมากเลยที่ครั้งนึงได้สัมผัสประสบการณ์แบบนี้ ก่่อนออกไปเจ้าหน้าที่จะถามว่าจะให้มาปูฟูกตอนไหนก็นัดแนะตามเวลา เมื่อเจ้าหน้าที่ไปแล้วก็ได้เวลาลัลล้าหลังจากเก็บอาการดีใจที่จองโรงแรมนี้ไว้ สำรวจในห้องดีกว่า ในตู้เสื้อผ้ามียูกาตะกับโอบิให้ ลองๆสวมดูแต่พันไม่เป็นเลยพันมั่วๆ  ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำและมีชักโครกแบบตะวันตก ถ้าจะออกนอกห้องก็มีเกี๊ยะไว้ให้เดินใส่สบายๆ

ยูกาตะของโรงแรม / โต๊ะในห้อง / เจ้าหน้าที่กำลังชงชา

ที่นั่ง / ห้องน้ำ / ปูฟูกแล้ว

     Kinugawa Park Hotels จะมี Onsen สองที่ สลับกันใช้ชายหญิงตามเวลา มีเวลาเปิดปิดด้วยต้องดูดีๆ แต่ทั้งสองที่คล้ายๆกันคือ มีทั้งบ่อในร่ม และบ่อกลางแจ้ง สำหรับบ่อในร่มก็คืออ่างน้ำร้อนที่อยู่ในห้องอาบน้ำรวม ส่วนบ่อกลางแจ้งก็ไม่ได้อล่างฉล่างเปิดดล่งครับ มีหลังคามีรั้วอยู่ แต่คืออยู่นอกอาคาร ถ้าถามว่าชอบบ่อไหน? บอกได้เลยว่าชอบบ่อที่อยู่นอกตัวอาคาร เพราะน้ำไม่ร้อนจนเกินไป และเป็นหินเรียงๆเหมือนเรามาสัมผัสธรรมชาติ อากาศเย็นๆกับน้ำแร่อุ่นๆ ผ่อนคลายมากครับ 


     เมื่อคืนนอนฟูกแบบญี่ปุ่น เช้านี้ก็จัดอาหารแบบญี่ปุ่นของทางโรงแรมแหละครับ ราคา 16** เยน สั่งก่อนล่วงหน้า ในเมนูก็มีอาหารตามรูปบางส่วน สำหรับรสชาติก็อร่อยดี เพิ่งเคยกินปลาไหลครั้งแรก ก็เอออร่อยเหมือนกัน


     ภาพถ่ายกับป้ายหน้าโรงแรม ดูเล็กๆแต่ไม่เล็กนะครับ ถ้าใครมาเที่ยวย่านนี้แวะมาพักโรงแรมดีๆ ที่ราคาจับต้องได้แบบนี้สักครั้งแล้วจะประทับใจไม่รู้ลืมเลยครับ 

http://bigm517.blogspot.com/2014/11/j-trip-7-asakusa-tokyo-sta.html


อ่านเรื่องราวอื่นๆได้
Myanmar / Korea / Laos /Japan

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ສະບາຍດີເມືອງລາວ 1 (ໄຊຍະບູລີ) ... สบายดีเมืองลาว 1 (เมืองไซยะบุรี)

9 พระพุทธรูปและพุทธสถานศักดิ์สิทธิ์รอบเจดีย์ชเวดากอง : 9 wonders of Shwedagon Pagoda

เลาะเลี้ยวเที่ยวเมืองตาก...เก็บสตรอว์เบอร์รี ดูเมล็ดกาแฟอาราบีก้า ที่ดอยมูเซอ