Maya Himalayan 1 เนปาล : Nepal
เมื่อความฝันและความเป็นจริงมาบรรจบกันตรงจุดนี้ บริเวณพื้นที่ที่มีเทือกเขาสูงที่สุดในโลก*
*วัดจากระดับน้ำทะเล
ความฝันคือการได้ชมมรดกในหุบเขาทั้ง 7 แห่งที่รวมเป็นหนึ่งสถานที่
ความฝันคือการได้ชมยอดเขาต่างๆ บนเทือกเขาหิมาลัย
ความฝันคือการได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆตามทาง ที่จะได้รับขนมแจกจากเรา
และความฝันก็คงจะเป็นความจริง
หากแต่ความจริงคือการต้องเผชิญกับเหตุจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ก่อนที่จะเดินทางเพียงไม่ถึง วัน แล้วจะเป็นอย่างไรบ้างหล่ะ...
.........................................................
สำหรับการเตรียมตัวในทริปเนปาลครั้งนี้ ผมเริ่มเตรียมตัวมาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ปี 2557 เพราะเห็นโปรโมชั่นของการบินไทย ราคาก็ถือว่าไม่แพงมากเลยตัดสินใจจองตั๋ว หลังจากนั้นเวลาเกือบสี่เดือนก็หาข้อมูลมาเรื่อยๆ ตั้งแต่สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่พัก และตัดสินใจจองทัวร์แบบ Private tour ตกลงราคากันที่ 320 US จนวันที่ 25 เมษายน 2558 ลาพักกลับไทย พอไปถึงไทย ตอนบ่ายๆ ข่าวแรกบริษัททัวร์ส่งข้อความมาบอกว่าเนปาลเกิดแผ่นดินไหว แต่ก็เพราะเป็นคนดื้อมั้งก็เลยบอกว่าไปได้ ทั้งวันนั้นตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงค่ำก็มีเพื่อนสนิทมิตรสหายส่งข้อความเป็นห่วงเป็นใยมา ตามอ่านข่าวก็ยังหวั่น แต่ก็ยังคิดว่าเมื่อรอยเลื่อนต่างๆปลดปล่อยพลังออกมาแล้วคงจะไม่มีอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นมาอีก ผมตัดสินใจเหมือนเดิมคือไป
26 เม.ย. 58
ตอนเช้าโทรไปที่สายการบินก่อนว่ายังไปได้เหมือนเดิมไหม เพราะพี่ชายบอกว่าที่นั่นสนามบินปิด สายการบินบอกได้ผมก็เก็บข้าวเก็บของ และเตรียมตัวออกจากโรงแรม ไปถึงก็ Check-in รอตรงนี้นานหน่อยเพราะคนเยอะมาก และแล้วก็ถึงคิวผมพอ Check-in เรียบร้อยก็เดินไปหาอะไรกินเอ้อระเหอลอยชายจนมาดูอีกทีก็ใกล้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว ก็ไปด่านตรวจความปลอดภัย ใช้เวลานาน ด่านตรวจคนออกนอกเมือง ใช้เวลาแปบเดียว พอเสร็จจากตรงนี้ก็ต้องวิ่งไปที่ Gate ไกลมากๆ จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่แต่คือเกือบสุดท้าย ไปถึง 9.40 น. เกือบตกเครื่องแล้วไหมละ ตรวจตั๋วเสร็จก็ไปยังรถบัส แล้วรถบัสก็นำไปส่งขึ้นเครื่อง เที่ยวนี้มีแต่ชาวต่างงชาติแฮะ คนนั่งข้างๆเป็นนักข่าวจากประเทศจีน มาเขียนคอลัมน์อะไรซักอย่างเกี่ยวกับแผ่นดินไหวที่เนปาลในครั้งนี้นี่ และแล้วก็ถึงเวลาที่เครื่องบินออก
สำหรับบริการของการบินไทยนี้ถือว่าดีมากเลยครับ พนักงานบริการดีมาก ถึงแม้ราคาจะสูงแต่พอดูการบริการแล้วถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่าย เครื่องบินได้ระดับพนักงานมาเสิร์ฟของว่างกับเครื่องดื่ม เมื่อคืนดริ้งหนักขอน้ำเปล่าก่อนละกัน เพราะไม่ทานไก่ทานเนื้อ บนเครื่องจึงบอกไปว่าขอเป็น Sea Food พออาหารมาเสริ์ฟก็เปิดและชิมดู
อร่อยเกือบทุกอย่าง ทั้งอาหาร สลัด ยกเว้นอันที่สีเหลืองๆมุมบนไม่รู้อะไร ชิมไปนิดเดียวกลิ่นขึ้นจมูก ทานไม่ได้เลย
นั่งฟังเพลงดูแผนที่จนใกล้ถึงเนปาล ชักตื่นเต้นแล้วสิที่จะได้มาถึงที่นี่ เมื่อก่อนตอนที่ยังทำงานได้เงินน้อยๆเคยฝันว่าอยากมาเที่ยวที่นี่ เลยส่งเอกสารเพื่อที่จะเข้าร่วมการประชุมสักอย่าง ถ้าได้รับคัดเลือกมาจะได้มาฟรีๆเลย แต่พอประกาศผลแล้วคือตกรอบก็แอบเศร้า แต่วันนี้จะได้มาเยือนประเทศนี้แล้ว
เครื่องบินบินมาจนถึงทางทิศใต้ของกรุงกาฐมาณฑุ กัปตันประกาศว่าตอนนี้หลุมจอดยังไม่ว่างต้องบินวนก่อน 1 รอบ หลังจากครบ 1 รอบก็ได้บินวนอีกเรื่อยๆ ผมนับได้ทั้งหมดสี่รอบถ้านับไม่ผิดนะ กัปตันบอกไม่ต้องห่วง
เติมน้ำมันมาสามารถบินได้นานถึง
4hr แต่กัปตันจะรู้ไหมว่าตอนนั้นเริ่มจะมึนๆแล้ว
พอหลุมจอดว่างก็ได้เวลาเครื่องลง หลายต่อหลายคนบอกว่าสนามบิน TIA เป็นสนามบินที่เครื่องลงยากมากและเกิดอุบัติเหตุบ่อย ตอนเครื่องลงผมก็แอบลุ้นๆอยู่นะว่าจะน่ากลัวแค่ไหน ตุ๊ป!!! และแล้วเครื่องก็แลนดิ้งอย่างปลอดภัย ผมว่าเฉยๆนะไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลย เครื่องวิ่งไปตามรันเวย์เห็นผู้โดยสารอยู่นอกสนามบินภายในประเทศเต็มเลย กัปตันขับเลยไปเลี้ยวเตรียมตัวที่จะเข้าหลุมจอด แต่ไม่ทันถึงก็จอดและดับเครื่อง และกัปตันได้ประกาศอีกครั้งว่า สนามบินปิดและจะดับสัญญาณทุกอย่างเพื่อให้ผู้โดยสารได้ผ่อนคลาย ตอนนั้นก็ยังไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น จนได้ข่าวมาว่าเพราะหลังจากเครื่องลงเกิด after shock ต้องตรวจรันเวย์สนามบินเพื่อความปลอดภัย ทำให้ต้องปิดสนามบินไว้ก่อน
เมื่อสนามบินปิดก็ต้องนั่งรอบนเครื่อง
กังวลอยู่นะว่าต้องทำไงต่อไปหนิ หรือต้องรอกลับไทย
ผู้โดยสารชาวไทยที่เห็นเป็นนักข่าว 3คน แล้วก็ผมอีกคน
นักข่าวสำนักข่าวต่างๆก็ถ่ายทำข่าวบนเครื่องนี่แหละ ผมอยากจะถ่ายรูปรอบๆมาเหมือนกันนะ แต่ที่นี่กังวลเรื่องความปลอดภัย ห้ามถ่ายภาพอะไรเหนือน่านฟ้า ผมเลยไม่เสี่ยงถ่ายอะไรมา เดินไปเดินมาผ่อนคลาย เขียน Blog เกือบชั่วโมงสนามบินเปิดอีกครั้ง กัปตันก็ขับเครื่องไปยังหลุดจอด ผู้โดยสารก็เตรียมตัวลง ที่นี่ไม่มีงวงช้างต้องเดินลงตามบันไดของเครื่องบิน พอได้สัมผัสอากาศข้างนอกรู้สึกปลอดโปร่งมาก หลังจากที่นั่งอยู่บนเครื่องเป็นเวลานาน อากาศข้างนอกเย็นมากเลย
ไม่ได้ขอวีซ่าก่อนมาทำให้ต้องไปเสียเวลาทำวีซ่านานอยู่เหมือนกัน อันที่จริงผมก็ขอมาแหละแต่เป็นวีซ่าออนไลน์ แต่หาช่องทำไม่เจอ เลยต้องมารอทำวีซ่า On Arrived ทำวีซ่าเสร็จรับกระเป๋า
เดินออกไปนอกสนามบิน O HO คนเยอะมาก จนหารถที่มารับไม่เจอ มีคนต่อคิวกันไปไหนไม่รู้แถวยาวมาก มีทะเลาะกันนิดหน่อย เดินวนไปวนมาหารถที่จะมารับแต่ก็หาไม่เจอ ป้ายก็เยอะมาก สุดท้ายก็ขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้นโทรไปหาบริษัททัวร์ ปรากฏว่าการสื่อสารขัดข้องโทรหาไม่ติด เลยตัดสินใจไปที่โรงแรม Taxi เรียกค่าไปส่ง 20 US ผมเห็นป้าย 700 Rs แต่ต่อว่า 10 US ได้ไหม Taxi บอกได้แต่ต้องรอผู้โดยสารคนอื่นนะ นั่งรอเป็นครึ่งชั่วโมง ฝนก็ตกไม่ออกซักที ผมเลยเดินไปเปิดประตูรถคว้ากระเป๋าออกมาแล้วก็เดินออกไปท่ารถ Taxi นี่เอ๋อเลย ผมบอกว่าขี้เกียจรอ ถ้าจะช้าขนาดนี้หารถคันที่อยากไปก็ได้ เขาก็ขอโทษแล้วก็มีผู้โดยสารอีกคนมาพอดี รถก็เลยออก ออกจากสนามบินมาไม่นานก็เจอวัดหลังคาทองหรือวัดปศุปฏินารถ รถก็ขับไปตามทาง จะเจอท่ารถประจำทาง บ้าน ตึกที่พัง บ้านช่องตามทางที่เห็นส่วนใหญ่ปิดหมด ผู้คนก็ไปใช้ชีวิตที่หลบภัย ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไงต่อดี ไปถึงโรงแรมก็ค่อยว่ากัน
ถึงย่านทาเมลคือร้างมาก ร้านรวงต่างๆปิดหมด บางส่วนก็พัง รถแล่นมาถึงโรงแรม
แลกเงินกับพนักงานแล้วก็มาจ่ายค่าTaxi ให้พนักงานติดต่อบริษัททัวร์อีกครั้งแต่ก็ยังติดต่อไม่ได้ เลยให้พนักงานโรงแรมพาไปบริษัททัวร์แต่ปิด ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำไงดี พนักงานบอกว่าสามารถจองห้องได้ราคาประมาณ 750 บาท แต่ไม่มีไฟ ไม่มี wifi กลางคืนไม่สามารถนอนที่โรงแรมได้เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวอาคาร
ไม่รู้ว่าจะเกิด After shock เมื่อไหร่ และพนักงานบอกว่าหลังจาก 10.00 PM สามารถกลับเข้ามานอนได้ แต่ตอนนี้ยังอันตราย ผมเลยงงว่าแผ่นดินไหวพยากรณ์ได้ด้วยเหรอ เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมานอนที่นี่อีกหรือเปล่า เลยขอฝากของไว้แล้วเดินไปชมรอบๆเมือง
รอบๆทาเมล ย่านที่เคยคึกคักเป็นที่พักของเหล่านักท่องเที่ยวนานาชาติ ตอนนี้ปิดเงียบเกือบทุกร้าน ผมเดินไปจนเจอร้านแลกเงินก็แวะแลก เห็นขายซิมด้วยแต่วันนี้ไม่ขาย ไปเจอร้านขายของติดต่อซื้อซิมแต่ก็ไม่ขายอีก เฮ้ออออ การสื่อสารก็ขัดข้องซิมก็ไม่ขายกลัวคนที่ไทยเป็นห่วง ตามทางนอกจากผมก็ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินกันตามท้องถนนอยู่ ตอนนั้นไม่ได้ถ่ายอะไรไว้เลยกลัวแบตหมด
ตกเย็นก็เลยมานั่งเล่นนอนเล่นที่สวนใกล้ๆโรงแรม คิดดูคนเดียวนั่งเฉยๆ ไม่รู้จักใครแต่ก็อยู่ได้ ค่ำหน่อยตรงที่ผมนั่งก็มีฝรั่งกับชาวเนปาลเอาผ้าใบมากาง ผมเลยช่วยกางแล้วเค้าก็ชวนมานอนด้วยกัน คืนแรกเลยได้มานอนในสวนกับชาวเนปาลและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
ในกระโจมผ้าใบนี้ น้ำอาบไม่มี ไฟไม่มี เนตไม่มี ขาดการติดต่อวันนึง
แต่ก็ยังอยู่ได้ ทั้งนี้ด้วยความอนุเคราะห์ฟูกและผ้าห่มจากราชิตชาวเนปาล
และจอร์จชาวสวิสที่ห่วงว่าเราจะหนาว จนเอาเสื้อกันหนาวมาให้ แล้วยัดรองเท้าเข้าไปในหมอนเพื่อหนุนหัวแทน
รับมาด้วยความเกรงใจ แต่ก็เอาคืนเขาไปเพราะพร็อพเราเยอะ ไม่ต้องกลัวว่าจะหนาว ถึงจะโชคร้ายแต่ก็ยังโชคดี แม้ฝนจะตกแต่กระโจมนี้ก็ช่วยกันฝนได้เยอะ เกือบสี่ทุ่มสะดุ้งตื่น อากาศเย็นเพราะฝนตก ลุกขึ้นมาดูเวลาในไอแพด จู่ๆแผ่นดินไหวอีกครั้ง คนที่ยังไม่หลับนี่ฮือเลย คืนนี้เปลี่ยนใจนอนที่เดิมที่สวนนี่แหละ แล้วก็หลับ
27 เม.ย. 58
ตื่นเช้าเจอมิตรชาวเนปาลอีกคนก็เลยยืนคุยกันสักพัก เห็นเราถ่ายรูปเลยอาสาถ่ายให้
ทีแรกยืนเฉยๆ เพราะทำหน้าไม่ถูก สถานการณ์แบบนี้คิดไม่ออกเลยว่ากาลเทศะคือ???
แต่เค้าบอกให้ยิ้มหน่อย เพราะความเศร้าไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น และนี่แหละครับภาพที่พักคืนแรกของผม...
อ่านเรื่องราวอื่นๆได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น