จากป่า...สู่กรุง
"ตื่นได้แล้วลูก เดี๋ยวสายๆต้องออกไปกันแล้วนะ"
ผมตื่นมาด้วยอาการงัวเงีย เมื่อคืนก็นอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นที่ต้องเดินทางไปสุวรรณภูมิครั้งแรก
เด็กบ้านนอกอย่างผมส่วนใหญ่เห็นอะไรก็เห็นผ่านหน้าจอทีวี พอจะไปสัมผัสกับสถานที่จริงก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับกันเลยทีเดียว ของต่างๆถูกตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี แถมมีการชั่งน้ำหนักกระเป๋าเองด้วยว่าพอกลับมาแล้วน้ำหนักต้องไม่เกินแน่นอน
เสียงรถออกสาร์ทพี่ชายกับแม่ก็เรียกขึ้นรถพร้อมด้วยของที่พะรุงพะรังจนโดนแซว
"กลับหอหรือย้ายบ้านเนี่ย"
ผมแอบขำตัวเองเหมือนกันที่เห็นข้าวของเยอะขนาดนี้ ขึ้นปี3 แล้วยังขนไปขนมาอยู่ได้ ทั้งๆที่น่าจะรู้ว่าที่หอก็สามารถฝากของได้ แต่สำหรับตัวผมเองนั้นมีของเยอะและทุกๆชิ้นสำคัญสำหรับผม เลยคิดว่าเก็บไว้ที่ตัวปลอดภัยที่สุด
ระหว่างที่รถลัดเลาะไปตามแนวเขา โค้งซ้ายที ขวาที จนนับโค้งไม่ถ้วน ถนนเส้นนี้นี้หากใครไม่ชินทาง อาจจะเมารถได้เหมือนกัน ผมนั่งมองออกไปก็เห็นเขาป่า เขา ป่า เขา มีบ้างที่จะมีรถสวนทางมา
แล้วก็มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่แม่เรียกลงไปหาของกิน
"เอาน้ำพริกกุ้ง ข้าวเหนียว หมูเส้นพริกไทยดำ"
ผมก็ชี้ไปที่ของโปรด เมื่อรับของก็ต้องจ่ายเงินออกไปเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ร้านนี้เป็นร้านแรกที่ผมจะแวะมาซื้อเป็นประจำก่อนที่จะไปเดินดูของร้านอื่นๆต่อ "ดอยมูเซอ"สถานที่ผมผ่านไปมาเวลาจะเดินทางไปต่างจังหวัด ตลาดนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เมื่อก่อนมีตลาดเดียว แต่ตอนนี้มีสาขาแล้ว แต่ถึงจะมีสาขาผมก็แวะมาที่เดิมตลาด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเพราะผูกพันธ์ บนรถกลิ่นคละคลุ้งมากทั้งอะไรต่อมิอะไร แต่เราสามคน พี่ แม่ ผม ก็จัดการกันจนเกือบเกลี้ยง เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน ข้าวเหนียวเริ่มออกฤทธิ์ จิตก็สงบ
ด้วยความที่เป็นคนหลับลึกมาก มารู้สึกตัวอีกทีก็เพราะโดนแสงเปรี้ยงจากแดดส่องมากระทบหน้า
ถ้านอนต่อผมคงได้เป็นขวานฟ้าหน้าดำแน่ ตอนนี้ข้างนอกไม่มีป่า ไม่มีเขา มีแต่เสาคอนกรีตและรถราเต็มถนนไปหมด จากที่สะลืมสะลือก็ตาลุกวาว เพราะได้ยินพี่ชายคุยกับแม่ว่า ถึงกรุงเทพแล้วต้องไปหาที่พักก่อนแล้วค่อยไปส่งแม่กับผม ผมไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไหร่เพราะคิดถึงแต่สุวรรณภูมิที่เคยเห็นในทีวี
จะมีวันนี้ที่ได้ไปเหยีบแล้ว พอได้ที่พักก็อาบน้ำเตรียมตัวประแป้งอย่างดี เพราะรู้ว่ากว่าจะได้อาบอีกทีก็คงจะพรุ่งนี้เย็น แต่ไม่ทันจะได้ออกฝนห่าใหญ่ก็ตกเทลงมาจนรู้สึกเซ็งเพราะกลัวจะไปตามนัดไม่ทัน
แต่โชคดีที่มีญาติมารับเลยคลายกังวล เพราะชำนาญเส้นทางเลยพาไปในทางที่ไวที่สุด
รถแล่นไปเรื่อยๆตามลูกศรจากป้ายบอกทางที่ชี้ไปยังสุวรรณภูมิ ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ผมยิ่งตื่นเต้น
เพราะเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็น แต่ผิดคาดมากไม่ได้ผิดที่สนามบินไม่สวยนะครับ แต่เพราะว่าฝนที่ตกหนักทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย พอรถจอดผมก็ขนของลงแล้วเดินลากกระเป๋าตามแบบที่เห็นในทีวีไปยังที่เคาเตอร์ F ตามที่นัดหมายไว้ เมื่อเจอคณะผมเลยสอบถามข้อมูลต่างๆ เมื่อแน่ใจว่าถูกต้องและไม่โดนหลอกพี่ชายเลยลากลับ เหลือผมกับแม่สองคน เอาละทีนี้เด็กบ้านนอกอย่างผม จะทำไงล่ะ เคยเห็นแต่ในทีวี สานมบินก็ใหญ่โตกว้างขวางอะไรอยู่ตรงไหนก็ไม่ยังไม่รู้ แต่พี่ที่เป็นไกด์ดูแลดีเลยพาเราไปผ่านด่านตม. ยังคิดอยู่เลยว่าเขาจะให้ผ่านไหม ตัวจริงกับภาพในหนังสือเดินทางต่างกันหลายขุม แล้วก็ผ่านไปยังสแกน
โหว อะไรยังไง ของในกระเป๋าต้องเอาเทใส่ตะกร้าหมด ผมก็ชำเลืองดูคนนั้น คนนี้แล้วก็ทำตาม หลังจากสแกนเสร็จก็เข้าสู่อาคารผู้โดยสาร ช่วงเวลานั้นรู้สึกว่าดีใจที่สุดที่ได้เข้ามาแล้ว แต่ด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิดและความไม่ชำนาญเลยไม่ได้เดินดูอะไรมาก เห็นร้านค้าปลอดภาษีของน่าซื้อเต็มไปหมด ผมมองหาเกตที่ตัวเองจะต้องไปรอ เห็นป้ายว่าชี้ไปทางไหนก็เดินไปตามนั้น และเริ่มรู้สึกว่าไกลมาก กว่าจะถึงเล่นเอาลมแทบจับ
"พี่ครับ น้ำขวดนึงครับ"
พอพี่เค้าบอกราคาทำผมอึ้งไปชั่วขณะ ราคาลิบลับกับด้านนอกตามที่แม่กับพี่บอกไว้เลย เสียดายมากที่ทิ้งน้ำก่อนด่านตม.ไป แต่จะทำไงได้เมื่อหิวก็ต้องซื้อ ก่อนที่จะดื่นจนหมดแล้วทิ้งขวดลงถังขยะ
วันนี้ผมก็บรรลุจุดประสงค์แล้ว เห็นสนามบินใหญ่ที่ไม่ได้อยู่แต่เฉพาะในทีวี บรรยากาศภายในตกแต่งได้สวยมากเลยครับ ผมชอบเอกลักษณ์ต่างๆที่แสดงถึงความเป็นไทยทั้งยักษ์ยิงเขี้ยวคนที่เดินทางบ่อยอาจเฉยๆแต่ผมขอเถอะ ขอสักชอต หลังจากที่สแกนร่างกายแล้วเจอรูปปั้นที่แสดงถึงพิธีกวนเกษียรสมุทรก็อดใจไม่ได้ขออีกสักชอต ระหว่างรอเกตเปิดแม่ไม่ว่างผลเลยต้องถ่ายด้วยตัวเองภาพที่ได้เลยออกมาเป็นแบบนี้.....
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น